คำพิพากษาศาลฎีกาคดีเลือกตั้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาคดีเลือกตั้ง

คำพิพากษาศาลฎีกา ต่อไปนี้เป็นคำพิพากษาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ(รธน.)และกฎหมายเลือกตั้ง(กม.เลือกตั้ง)ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มูลคดีเกิดขึ้น

แม้ปัจจุบันจะมีการประกาศใช้รธน.และกม.เลือกตั้งฉบับใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดอันเกี่ยวกับการเลือกตั้งแตกต่างไปจากรธน.และกม.เลือกตั้งฉบับเดิมที่ใช้บังคับอยู่ในช่วงที่มีมูลคดีเกิดขึ้นบางประการ แต่หลักการและข้อกฎหมายตามพิพากษาศาลฎีกา ดังกล่าวยังคล้ายกันกับบทบัญญัติตามรธน.และ กม.เลือกตั้งที่ใช้บังคับในปัจจุบัน คำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ จึงน่าจะใช้เป็นแนวบรรทัดฐานสำหรับ การเลือกตั้งในปัจจุบันได้ คือ

ฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)น่าเชื่อถือ

ระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง ของ กกต.ตั้งเป็นข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความน่าเชื่อถือ การที่ไม่ปรากฏ ชื่อของผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค ป .จึงไม่อาจเชื่อได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค ป. ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่1883/3549)

 ไม่มีชื่อเป็นสมาชิกพรรคในฐานข้อมูล

ผู้ร้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแต่หัวหน้าพรรคไม่ส่งรายชื่อสมาชิกพรรคให้ กกต. จึงไม่มีชื่อเป็นสมาชิกพรรคในฐานข้อมูล ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่1844/2549)

* เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถึง 90 วัน

ผู้สมัครยอมรับว่าเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาไม่ถึง 90 วัน ผู้สมัครจึงไม่มีคุณสมบัติเป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย(คำพิพากษาศาลฎีกาที่1832/3549)

* เป็นสมาชิกพรรคการเมือง 2 พรรคในขณะเดียวกัน

ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกประชากรไทยและพรรคประชาธิปัตย์พร้อมกัน ในขณะสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่เพียงพรรคเดียว ผู้คัดค้านจึงไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ตาม รธน.แห่งราชอาณาจักรไทยฯ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่1882/2549)

* เป็นบุคคลล้มละลาย

ขณะที่ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ผู้ร้องได้ถูกศาลแพ่งธนบุรีพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลแพ่งธนบุรียังไม่ได้สั่งให้พ้นจากคดี แม้คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดเนื่องจากผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาก็ตาม ผู้ร้อง ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี และเป็นบุคคลต้อง ห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตาม รธน. (คำพิพากษาศาลฎีกาที่18/3548)

* ถูกไล่ออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่

ผู้ร้องถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ แม้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ต้องถือว่าคำสั่งลงโทษไล่ผู้ร้อง ออกยังมีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่ ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้ง จึงได้ชื่อว่าเป็นบุคคล ผู้เคยถูกไล่ออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่ และเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตาม รธน. (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2548)

* ปราศรัยใส่ร้ายผู้สมัครอื่น

จำเลยที่ 1 กล่าวปราศรัยต่อประชาชนว่า ขณะที่โจทก์รับราชการที่สถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน โจทก์สร้างเรื่องเท็จในคดีที่โจทก์ตรวจยึดอาวุธปืนเพื่อประชา สัมพันธ์ตัวเอง อีกทั้งยังหลอกลวงเอาเงินจากคนแก่จนตรอมใจตาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และมีความผิดฐานใส่ร้ายด้วยความเท็จให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคะแนนเสียงให้แก่ตน หรือผู้สมัครอื่นหรืองดเว้นการลงคะแนนให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ให้จำคุก 1 ปีปรับ 20,000บาท โทษจำให้รอการลงอาญา 1 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10ปี(คำพิพากษาศาลฎีกา133558/2556)

* สมัครรับเลือกตั้งโดยรู้ว่าไม่มีสิทธิ

จำเลยสมัครรับเลือกตั้งโดยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถึง 90 วันเป็นการสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ ให้จำคุก 1 ปีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่15623/2553)

จำเลยถูก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแล้วมาสมัครรับเลือกตั้ง จึงเป็นกรณีสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ให้จำคุก6เดือน และปรับ 10,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้หนึ่งปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลา10 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่9804/2552)

* ไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายผู้สมัคร

จำเลยสมัครรับเลือกตั้ง แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายผู้สมัครภายในเวลา 90 วันหลังจากประกาศผลเลือกตั้ง ให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 30,000บาท โทษจำให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง5ปี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่4708/2550)

* ไม่ไป เลือกตั้งใหม่ครั้งที่สอง

เมื่อการเลือกตั้งมีการทุจริต จึงมีการจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นครั้งที่ 2 ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องไปเลือกตั้งใหม่ครั้งที่ 2 ด้วย เมื่อผู้ร้องไม่ไปเลือกตั้งและไม่แจ้งเหตุที่ไปเลือกตั้งไม่ได้ ผู้ร้องจึงเป็นผู้เสียสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (คำสั่งศาลฎีกาที่ 126/2548)

* ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินฯแก่กลุ่มกำนันในเขตเลือกตั้ง

มีกลุ่มกำนัน จากอ.แม่จัน เดินทางจากจ.เชียงราย ไปพบกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นรองหัวหน้าพรรค ณ ที่ทำการพรรคในกรุงเทพมหานคร น่าเชื่อว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค มีการให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ให้แก่กลุ่มกำนันดังกล่าวเพื่อจูงใจให้กลุ่มกำนันดังกล่าวลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครพรรคอื่นซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกม.เลือกตั้ง อันน่าจะมีผลทำให้การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับรองหัวหน้าพรรคคนดังกล่าวและผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เขตที่3 ในจ.เชียงราย ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับรองหัวหน้าพรรคมิได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อดังกล่าว เป็นเวลา 5 ปีและให้มีการเลือกตั้งเขต 3 ใหม่จำนวน 1 คนแทนผู้สมัครที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับรองหัวหน้าพรรคดังกล่าว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5019/ 2551)

* พ้นจากตำแหน่งผู้แทนฯ จากการเลือกตั้งไม่สุจริตฯ ต้องคืนเงินเดือนฯ

จำเลยดำรงตำแหน่งผู้แทนราษฎร แต่ เนื่องจากมีหลักฐานมีบุคคลให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงเสียงให้จำเลย มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนที่เกี่ยวแก่จำเลยมิได้เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม จึงมีการเลือกตั้งใหม่ มีผลให้สมาชิกภาพของจำเลยสิ้นสุดลง จำเลยต้องคืนเงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5617/2557)

* สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเพราะกระทำการต้องห้าม ต้องรับผิดค่าใช้จ่ายเลือกตั้งใหม่

จำเลยเป็นสมาชิกส.ส. กระทำการต้องห้ามถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมาชิกภาพการเป็นผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ค่าใช้จ่ายในการจัดเลือกตั้งใหม่ เป็นความเสียหายอันเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการจงใจกระทำผิดกฎหมายของจำเลย เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 13,624,254.21 บาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับแต่วัน นับแต่วันที่ 12 ม.ค.2553 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 26 ต.ค.2554 อันเป็นวันฟ้อง(คำพิพากษาศาลฎีกาที่6762/2559)