ไม่เข้าใจ Holocaust ไม่ใช่ความผิดของการสอนประวัติศาสตร์

ไม่เข้าใจ Holocaust ไม่ใช่ความผิดของการสอนประวัติศาสตร์

ดราม่าที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ของการที่คนไทยเผลอไผลแสดงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับนาซี มีให้เห็นอยู่เนืองๆ พร้อมกับการตอบโต้ผู้ที่ออกมาประท้วงว่า

จะอะไรกันนักหนากับการใส่เสื้อตราสวัสดิกะหรือตะเบ๊ะท่าไฮฮิตเลอร์ เหตุการณ์แบบนี้ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นจำเลย ไม่ใช่แค่เยาวชนผู้ไม่ใส่ใจค่านิยมโลก แต่การสอนประวัติศาสตร์ถูกมองว่าผิดหนักที่มีส่วนทำให้ผู้แสดงออกนั้นทำเรื่องโง่ๆ ออกมา ขยายไปถึงการโจมตีระบบการศึกษาไทยทั้งระบบ แต่นั่นเป็นการกล่าวหาที่ผิดฝาผิดตัว และไม่ได้แก้ปัญหาการที่ใหญ่กว่าการไม่รู้เรื่องโฮโลคอสท์ นั่นคือการแคร์ต่อจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ทั้งมวล

ก่อนอื่นต้องตีกรอบความคิดเสียก่อน บทความชิ้นนี้ไม่ได้ขุดไปหาความจริงว่า แท้จริงค่ายเพลงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ภาพการแต่งกายนาซีของนักร้องสาวหลุดออกมาหรือไม่ และบทความชิ้นนี้จะไม่ได้มองเบื้องหลังของอิสราเอลที่มักมีบทบาทเสมอในการตอกย้ำอยู่เสมอให้โลกต้องรู้สึกผิดต่อการตายของชาวยิว 6 ล้านคน เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว นาซีและฮิตเลอร์ ถูกจดจำอย่างแน่นหนาในยุคของเราชนิดเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ใครที่ปฏิเสธว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หรือแม้แต่เห็นใจฝ่ายเยอรมันในเวลานั้นจะถูกมองว่าเป็นคนผิดทันที ปรากฏการณ์ทางความคิดเช่นนั้นน่าจะอยู่อีกนานเป็นร้อยปี และไม่ควรมีใครเสียเวลาไปโต้เถียงหรือยืนอยู่ผิดข้างประวัติศาสตร์

แต่เหตุการณ์ที่ทุกคนน่าจะรับรู้กันหมดแล้วนี้กลับมีคนทำผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ เสื้อยืด ธง ดวงตราสัญลักษณ์ ท่าทำความเคารพ หรือการชื่นชมความคิดของพวกนาซี ยังเป็นข่าวในสังคมไทยอยู่เป็นครั้งคราว บางคนเป็นถึง ส.ส.แต่ไปแสดงในสภาเลยด้วยซ้ำ  ส่วนใหญ่ทำไปเพราะไม่รู้ว่ามันไม่ควรทำ ทำไปเพราะชอบความเท่ของตรา และอาจจะหนักกว่านั้นที่คล้ายกับพวกผิวขาวหัวรุนแรงเข้าไปหน่อยคือการต่อต้านสังคม แต่การตั้งคำถามว่าทำไมเยาวชนหรือผู้เข้าใจผิดเหล่านี้จึงเซ่อซ่ากระทำลงไป แล้วตอบว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับการสอนสั่งเรื่องของประวัติศาสตร์นั้นผิด จำเลยตัวจริงน่าจะเป็นระบบของการขัดเกลาทางศีลธรรมของประเทศนี้มากกว่า

ในฐานะศาสตร์ ประวัติศาสตร์สอนข้อเท็จจริงและการตีความ ไม่ได้สอนให้มีอคติดีชั่วในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ  ทุกโรงเรียนและทุกมหาวิทยาลัยก็น่าจะได้เล่าเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โดยนาซีกันไปแล้วทุกสถาบันการศึกษา เพราะเป็นปรากฏการณ์สำคัญเมื่อเอ่ยถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เหมือนกับถ้าพูดถึงสงครามกลางเมืองสหรัฐ ฯ ก็ต้องพูดถึงการเลิกทาส ในเมื่อประวัติศาสตร์สากลที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่สองมีการสอนกันไปแล้ว แต่ยังมีการแต่งคอสเพลย์กันอยู่อีก นั่นก็เพราะว่าการสอนไม่ได้เน้นย้ำว่าสิ่งนี้เป็นความผิดบาปของมนุษยชาติ หน้าที่สั่งสอนคุณค่ายึดถือนี้น่าจะเป็นวิชาศีลธรรมหรือวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตมากกว่า

แต่การสอนวิชาศีลธรรมจริยธรรม ในโรงเรียนที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของโฮโลคอสท์นั้น เป็นเรื่องที่พอเข้าใจเบื้องหลังได้ การสอนวิชาเหล่านี้มีฐานมาจากกรอบคิดศาสนา สอนความดีความชั่ว ละการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จริง แต่ไม่ได้มองไกลไปถึงเรื่องของการสังหารหมู่ เพราะมันดูโพ้นไกลไปกว่าชีวิตเด็กต้องเผชิญ ทั้งยังเป็นเรื่องที่ปรากฏในประเทศตะวันตกอีก อย่างไรก็ตาม หลักสูตรและครูลืมนึกถึงเรื่องที่ว่าหลักคุณค่ายึดถือสากลที่ทั่วโลกกำลังสั่งสอนให้เยาวชนและประชาชนต้องยึดตามในส่วนของการไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นมีเรื่องของการไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ทรมานทำร้ายผู้อื่นเป็นวงกว้างให้เจ็บปวด ไปไปมามาเราไม่รู้ว่าการสอนเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนมีประความก้าวหน้าแค่ไหน ทุกวันนี้ยังมีข่าวการกลั่นแกล้งเด็กที่ด้อยกว่าจากนักเลงโรงเรียนและจากครูโรคจิตอยู่แทบทุกวัน

ไม่ใช่แค่ในโรงเรียน สภาพสังคมแบบไทยๆ ที่ไม่ใส่ใจเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็สมควรเป็นจำเลยของการละเลยเรื่องการฆ่าหมู่ด้วย  เด็กๆไม่เคยถูกขัดเกลาให้เกลียดเหตุการณ์แบบล้อมฆ่าหมู่ในธรรมศาสตร์ปี 2519 หรือแม้แต่ในยุคหลัง ๆ ที่มีคนตายกันมากจากเหตุการณ์ทางการเมือง พวกเขาก็เฉยๆ หนำซ้ำบางทีพ่อแม่ของเขายังสะใจกับฝ่ายตรงข้ามที่ตายกันเป็นจำนวนมากเสียอีก ไม่เคยมีคนผิดถูกลงโทษ ผู้ที่ต้องสงสัยว่าสั่งการยังลอยหน้าได้รับการนับถือในสังคม

เรื่องของการล้อมปราบนี่อาจเป็นเรื่องไกลตัวของคนก็จริง แต่การที่ไม่สั่งสอนพวกเขาว่าเรื่องนี้คือความผิดบาป พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจในสเกลความผิดบาปที่เล็กกว่าและใกล้ตัวกว่าเช่นกัน ในโลกที่ยิ่งอยู่ยากด้วยปัญหาสังคมรุนแรงขึ้นอย่างทุกวันนี้ เราจึงเห็นเยาวชนใช้ความรุนแรงเป็นทางออกอย่างไม่คำนึงถึงศีลธรรมพื้นฐานมากขึ้น  เช่น นึกจะฆ่าคนทำร้ายคนเพื่ออะไรสักอย่างก็กระทำลงไปอย่างไม่คิดมาก รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปอยู่ในคุก แต่ก็มีคนอื่นเจริญรอยตามเหมือนกับปราศจากการรับรู้มาก่อนว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่จะกระทำไม่ได้เลยในโลกยุคปัจจุบัน