นโยบายพรรคกับ PM 2.5

นโยบายพรรคกับ PM 2.5

นักการเมืองบอกว่า “มาจากประชาชนและเข้าใจชีวิตของประชาชน” ดังนั้น ในการเลือกตั้งอันใกล้นี้นักการเมืองต้องมีคำตอบให้กับปัญหาของประชาชน

 ผ่านการเสนอนโยบายของพรรคการเมืองซึ่งปัญหาที่รุนแรงเร่งด่วนขณะนี้ของกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ก็คือ เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศซึ่งเป็นสภาพมลพิษที่น่ากลัวยิ่ง

พรรคพวกเพื่อนฝูงแนะนำให้เขียนเรื่องนี้เพื่อยั่วยุให้มีการเสนอแนะนโยบายและหนทางแก้ไขปัญหาที่มีความเป็นไปได้สูงและได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในระยะสั้นและยาว พรรคการเมืองใดสามารถเสนอได้อย่างน่าเชื่อถือก็จะได้รับคะแนนนิยม โดยเฉพาะจากคนกรุงเทพฯ

สภาพอากาศขมุกขมัวในท้องฟ้าของกรุงเทพฯมิใช่เพิ่งเกิดขึ้น แท้จริงเห็นกันมานานแล้วเพียงแต่ยังไม่เป็นข่าวและไม่เกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นการประกาศของกรมควบคุมมลพิษเชิงวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดความตื่นตัวจากภัยกันขึ้น

ประเด็นก็คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก ที่มีขนาด 2.5 ไมครอน (ดังที่เรียกกันว่าPM 2.5) (1 ไมครอนมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 25 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผม) กระจายอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะริมถนนหลายแห่งมีปริมาณสูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร โดยมีระดับเกิน 90 และบางแห่งถึง 56-103 เมื่ออาทิตย์ที่ 3 ของเดือน ม.ค.

สภาวการณ์ขมุกขมัวที่เกิดขึ้นนั้น มาจากมลพิษที่อยู่ในอากาศที่มาจากการเผาไหม้สารพัดน้ำมัน และก๊าซจากกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนในเมืองใหญ่ และจากการก่อสร้างโครงการต่างๆ จำนวนมากมายใน กรุงเทพฯที่ทำให้เกิดการเผาไหม้จากการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์อีกทั้งการใช้วัสดุก่อสร้างต่างๆ เมื่ออากาศเย็นเผชิญกับอากาศอุ่นก็ทำให้เกิดสภาพอากาศนิ่ง ลมไม่พัด ประกอบกับมีหมอกทั้งหมดทำให้ไม่มีการหมุนเวียนของอากาศ อาคารจำนวนมากมายทั้งต่ำและสูงกีดขวางการไหลเวียนของอากาศ มลพิษฝุ่นละอองเล็กๆจึงไม่ลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศมากและรวดเร็ว แต่เกาะตัวเป็นแพร่ร่วมกับกลุ่มหมอกกลายเป็นหมอกที่มีสีน้ำตาลจางๆ จนทำให้เรามองเห็นเป็นความขมุกขมัว

สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ การไม่ลอยตัวขึ้น อยู่ในสภาพนิ่งและสะสมมากขึ้นในระดับพื้นดินจนบางส่วนของมันที่เป็น PM 2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนในช่วงที่มีเงื่อนไขซึ่งทำให้ไม่เกิดการหมุนเวียนของอากาศ

ฝุ่นละอองขนาดเล็กมากหรือPM 2.5 เมื่อเข้าไปในปอดหรือแม้แต่กระแสเลือดก็อาจก่อให้เกิดสารพัดโรค ตั้งแต่โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง ฯลฯ

กรุงเทพมหานคร มิใช่เมืองใหญ่แห่งเดียวในโลกที่ประสบปัญหาดังกล่าว ปักกิ่งประสบปัญหาเดียวกันอย่างรุนแรงหลังจากเป็น จีนสมัยใหม่ได้ไม่นาน(“จีนสมัยใหม่” ปัจจุบันมีอายุครบ 40 ปี) แต่ก็สามารถแก้ไขได้เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลงมือประกาศการกำจัดมลพิษในอากาศเป็น วาระแห่งชาติ ในปี 2014

สถานการณ์ของปักกิ่งตอนที่เลวร้ายสุดๆ นั้น ในฤดูหนาวมองแทบไม่เห็นลายเส้นมือของตนเอง หลายรัฐบาลปลอบว่าฝุ่นพิษเป็นเรื่องชั่วคราว แต่เมื่อประชาชนทนไม่ไหวรวมตัวกันต่อสู้เรียกร้องสิทธิในการได้รับอากาศบริสุทธิ์เพราะไม่ต้องการสูด PM 2.5 อีกต่อไป(โลกรู้จักหวยเลขนี้ก็เพราะข่าวมลพิษในปักกิ่ง) รัฐบาลสีจิ้นผิงก็ตอบรับ

ภายในเวลา 4 ปี เต็มหลังจากการประกาศสงครามมลพิษอากาศ จีนซึ่งมีปัญหามลพิษอากาศอย่างมากในหลายเมืองทั่วประเทศ(ใน 30 อันดับแรกที่เลวร้ายของโลก จีนติดอันดับ 8 เมือง อินเดีย 13 เมือง)สามารถลดปริมาณของฝุ่นขนาดเล็กในเมืองต่างๆ ลงได้ 32% โดยเฉลี่ยปักกิ่งนั้นรัฐบาลระดมสรรพกำลังเต็มที่จนได้ผลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการให้โรงงานผลิตหันไปใช้ก๊าซแทนถ่านหิน ควบคุมจำนวนรถยนต์และการเดินทางเข้าเมือง แก้ไขกฎหมายสิ่งแวดล้อมให้องค์กรสิ่งแวดล้อมและประชาชนสามารถฟ้องร้องบริษัทหรือโรงงานก่อมลพิษได้ เปลี่ยนระบบทำความร้อนในบ้านเรือนและธุรกิจจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าหรือก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ

รัฐบาลจีนมี “Battle Plan” หนา 143 หน้า และมีการปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัดมุ่งมั่นลด PM 2.5 ตามเป้าหมายแยกของเมืองต่างๆ สำหรับปักกิ่งนั้นเป้าหมายคือ ลดไม่ต่ำกว่า 25% และมีงบประมาณให้ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

จีนเป็นตัวอย่างของการลดมลพิษอากาศจนได้รับคำชมจากนานาชาติ หัวใจของความสำเร็จก็คือ นโยบายที่ตรงจุดและเป็นไปได้ อีกทั้งมีการปฏิบัติที่จริงจังอย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่น

สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ปัญหามลพิษฝุ่นละอองมิใช่ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะเลวร้ายไปกว่านี้ เราไม่รู้ว่าเงื่อนไขที่ทำให้อากาศนิ่งจะกลับมาอีกเมื่อใดและไม่รู้ว่ามันบั่นทอนชีวิตผู้คน ทำลายเศรษฐกิจ(การท่องเที่ยวจะถูกกระทบมาก)และก่อให้เกิดภาวะทางการเงินแก่ภาครัฐในอนาคตอีกมากเพียงใด

พวกเราคอยพรรคการเมืองที่จะเสนอนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างได้ผลอยู่ครับ