ความลับ 3,000 ปี

ความลับ 3,000 ปี

คนไทยไปอังกฤษ มักแวะไปห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ บางรายซื้อของเป็นแสนเป็นล้าน แต่วันนี้ผมขอชวนไปอีกแห่ง ซึ่งไม่ต้องเสียสตางค์อะไรเลย

ไปชมโลกทั้งใบในที่แห่งเดียว สถานที่ซึ่งใช้เวลาหลายวันก็ซึมซับไม่หมด นั่นคือ บริติช มิวเซี่ยม และผมชวนไปชม แค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียวแหละครับ หินนี้มีชื่อว่า “โรเซ็ตต้า สโตน”

ไปที่นั่นครั้งใด ก็เห็นผู้คนเบียดเสียดเข้าไปชมหินก้อนนี้ พื้นที่ตรงนี้ไม่เคยว่าง ถึงแม้หินจะจารึกไว้ด้วยข้อความและอักษรภาพ ที่อ่านไม่เข้าใจก็ตาม

ข้อความและอักษรภาพที่จารึกไว้ 3 ภาษา ส่วนแรกเป็นภาษาอียิปต์โบราณที่เป็นอักษรภาพ หรือ เฮียโรกลิฟฟิค ที่เราเห็นคุ้นตาตามปิรามิด หรือวิหารต่างๆในอียิปต์ ส่วนที่ 2 เป็นภาษาดีโมติก และส่วนที่ 3 เป็นภาษากรีก

สองภาษาแรกไม่มีใครอ่านรู้เรื่องมานานนับพันปี เพราะเป็นภาษาที่ “ตาย” ไปแล้ว ดังนั้นรอยจารึกเรื่องราวในอดีตที่เป็นภาษาอียิปต์โบราณ จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่มืดมิดตลอดมา แต่หินก้อนนี้เพียงก้อนเดียว กลายเป็นกุญแจสำคัญ ทำให้มนุษย์เราสามารถไขเรื่องราวในอดีตนานกว่า 3,000 ปีที่แล้ว ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ค.ศ. 1799 นโปเลียนยกกองทัพฝรั่งเศสไปอียิปต์ ทหารฝรั่งเศสได้ขุดพบหินก้อนนี้ ที่เมืองโรเซ็ตต้า เป็นศิลาจารึกสูงประมาณ 3 ฟุต ต่อมาอังกฤษรบชนะฝรั่งเศส ก็เอาไปไว้ที่ บริติช มิวเซี่ยม จนถึงทุกวันนี้ แม้อียิปต์จะพยายามขอคืน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสหลายคน พยายามถอดรหัส เพื่ออ่านภาษาอียิปต์โบราณจากหินก้อนนี้ ในที่สุดเมื่อปี 1822 ชาวฝรั่งเศสชื่อ ชองโปลิออง ก็ทำได้สำเร็จ โดยเปรียบเทียบข้อความภาษากรีก ซึ่งยังคงอ่านเข้าใจความหมายได้ กับภาษาอียิปต์โบราณ เริ่มจากคำง่ายๆ เช่นชื่อคน แล้วแกะรอยต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ค้นพบวิธีอ่านและเข้าใจความหมาย

เรื่องราวของอียิปต์เมื่อ 3-4 พันปีก่อน จึงถูกถ่ายทอดออกมาให้มนุษยชาติได้เรียนรู้ ถ้าหากไม่มีโรเซ็ตต้า สโตน อารยธรรมอียิปต์โบราณก็คงจะเป็นความลับดำมืดต่อไป ผมจึงอยากชวนคุณ ให้ไปชมหินก้อนนี้ เพราะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง

ข้อความบนโรเซ็ตต้า เป็นพระราชกฤษฎีกา ที่ออกโดยคณะสงฆ์ เมื่อ 196 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อยกย่องความดีงามของปโตเลมีที่ 5 และมีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่าวิหารและคณะสงฆ์ จะได้รับการยกเว้นภาษี

ข้อความมีไม่มากนัก เพราะหินโรเซ็ตต้า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหินก้อนใหญ่กว่านี้ที่แตกหายไป และยังไม่สามารถค้นพบได้

แม้เหลือเพียงก้อนเท่านี้ ก็ยังเป็นโชคดีเพราะการบันทึกไว้ 3 ภาษา โดยมีความหมายเดียวกัน ทำให้สามารถถอดรหัสได้ ถ้าหากเป็นภาษาอียิปต์โบราณเพียงภาษาเดียว อาจจะใช้เวลาอีกนานกว่านี้เท่าใด ก็ไม่มีใครรู้

ความจริงประเทศไทยเรา ก็มี “หิน” ก้อนสำคัญอยู่เช่นกัน และเป็นหินที่ทำให้เราทราบถึงการปกครอง และความเป็นอยู่ของคนไทย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของประเทศว่าเป็นเช่นใด นั่นคือ ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ศิลาจารึกของเรา มีข้อความที่ใครๆก็จำได้ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แต่น้อยคนที่จะจำข้อความอื่นๆได้ เช่น “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบใน” ข้อความนี้ เมื่อเปรียบกับข้อความในโรเซ็ตต้าแล้ว ของเราเหนือกว่า เพราะอียิปต์ไม่เก็บภาษีจาก พระ แต่ของเรา เจ้าเมืองไม่เก็บภาษีจาก ประชาชน

ศิลาจารึกของไทย อยู่ที่ไหน ใครค้นพบ ใครเป็นคนถอดรหัส ฯลฯ น้อยคนที่ทราบหรือสนใจ เพราะชีวิตเราก้าวไปข้างหน้าทุกวัน อดีตมักถูกลืม ครั้งหนึ่งผมเคยฉุกคิดได้ว่าถ้าลูกสาวตัวเล็กๆของผม เรียนโรงเรียนนานาชาติ และไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์ไทยเลย แล้วลูกผมจะ ซึมซับ-รับรู้ รากเหง้าของความเป็นไทย ได้อย่างไร ผมก็เลยขวนขวายพาเธอไปชม ศิลาจารึก

ศิลาจารึก อยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติครับ ใครที่ยังไม่เคยเห็น ควรหาเวลาไปชม และถ้าจะให้ดีก็ควรไปชม ก่อนที่จะไปชมโรเซ็ตต้านะครับ เพราะนี่เป็นของไทยเราแท้ๆ

วันเวลาผ่านไป 800 กว่าปี อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก จากประชาชนไม่เสียภาษี เราก็ต้องเสียภาษี แถมบางปีโดนไล่บี้เรียกเก็บภาษีหลากหลาย แต่บางปีก็ผ่อนคลายในบางเรื่อง นอกจากนั้น ในน้ำก็ไม่ค่อยมีปลา และในนาก็ไม่ค่อยมีข้าวเสียแล้ว ประชากรมากขึ้น โรงงานมากขึ้น ปล่อยสารพิษลงแม่น้ำมากขึ้น ขายนาเอาไปทำโรงงานมากขึ้น ฯลฯ

แต่ที่น่าสังเกตก็คือถึงแม้ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” จะไม่ใช่ความจริงอีกแล้ว แต่ความอุดมสมบรูณ์ในอดีต ก็ยังส่งผลดีต่อเรา ทำให้คนไทยเป็นคนที่มีนิสัย ไม่เดือดร้อนอะไรง่ายนัก ยิ้มง่าย มีเสน่ห์ จนคนชาติไหนๆก็รักคนไทย

แต่นั่นอาจมีส่วนทำให้เราไม่ก้าวไปข้างหน้าเท่าที่ควร เพราะเราชอบสบายๆ ไม่ชอบออกนอก “คอมฟอร์ตโซน” แม้จะมีความยากลำบากเข้ามาท้าทายเป็นระยะๆ แต่พอสภาวะกลับเข้าสู่ปกติ เราก็ สบายๆ กันอีก...จนมันก็กลายเป็นเสน่ห์ไทย ไปเสียแล้ว

ข้อความบน โรเซ็ตต้า สโตน มีไม่มากนัก แต่ ศิลาจารึกของเรา มีเนื้อหาหลากหลายมากกว่า ข้อความหนึ่งที่น่าสนใจและน่าชื่นใจ ก็คือสมัยนั้น “ไพร่ฟ้า หน้าใส” ซึ่งสะท้อนถึงความสุขของประชาชนชาวสุโขทัย

แต่ถ้าชาวสุโขทัยสมัยนั้น กลับมาเกิดใหม่ในยุคนี้ พวกเขาคงจะงุนงงมากทีเดียว และคงบอกไม่ได้ว่าสมัยนี้ “ไพร่ฟ้า หน้าใส” เหมือนยุคนั้นหรือไม่....ก็จะทราบได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อเขาเห็นเพียงหูคิ้วตา หน้าผาก และทรงผม ของพวกเราเท่านั้นเอง

ที่เหลือครึ่งล่าง ทั้งปากและจมูก เอาผ้าอะไรก็ไม่รู้มาปิดไว้...กันทั้งเมือง!