แจ็คหม่าวิเคราะห์เศรษฐกิจจีน

แจ็คหม่าวิเคราะห์เศรษฐกิจจีน

เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา แจ็คหม่า แห่งอาลีบาบาได้ขึ้นเวทีสัมมนาใหญ่ส่งท้ายปีแห่งหนึ่ง โดยเขาได้บรรยายความคิดของตนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจจีน

-ในปัจจุบัน นับว่าเรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย เพราะนานๆ ที แจ็คหม่าจึงจะออกมาแสดงความเห็นเรื่องเศรษฐกิจมหภาค

แจ็คหม่าบอกว่าปี 2018 นับว่าเป็นปีที่ทุกคนในจีนวิตกกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจมหภาค หลายคนรู้สึกว่า เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก (โดยเฉพาะสงครามการค้า) ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนดูไม่สดใสเท่าที่ควร

แจ็คหม่าบอกว่า เขามีทัศนคติอยู่ตลอดว่าเศรษฐกิจมหภาคไม่ได้มีผลอะไรมากต่อธุรกิจ แน่นอนว่า 90% ของความกังวลของนักธุรกิจมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค แต่เอาเข้าจริงแล้ว 90% ของภาวะเศรษฐกิจมหภาคไม่ได้กระทบธุรกิจจริงๆ หรอก

แจ็คหม่ายังบอกว่าเขาไม่ค่อยเชื่อนักเศรษฐศาสตร์ เพราะนักเศรษฐศาสตร์มักเก่งในการสรุปบทเรียนในอดีต แต่ทำนายอนาคตไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่

ทักษะสำคัญของนักธุรกิจ จึงไม่ใช่การหลับหูหลับตาเชื่อฟังนักเศรษฐศาสตร์ แต่คือการพยายามมองให้แตกว่าโอกาสทางธุรกิจอยู่ตรงไหน ต้องฟังให้เห็นโอกาส มองให้เห็นโอกาส และคิดให้เห็นโอกาส

ความหมายก็คือ นักธุรกิจต้องมองสภาพเศรษฐกิจให้แตก คือมองให้แตกว่าโอกาสของตัวเองอยู่ตรงไหน เมื่อมองแตกแล้วก็จะไม่กังวล

นักธุรกิจที่เก่งจะมองเห็นโอกาสในวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่นักธุรกิจที่ไม่ได้เรื่อง ถึงโอกาสอยู่ตรงหน้า สุดท้ายกลับจะทำให้กลายเป็นวิกฤติ

นักธุรกิจที่เก่งจะเข้าใจว่าเวลาเศรษฐกิจไม่ดี อาจทำให้ลำบากระยะสั้น ประเด็นสำคัญคือจะรับมือและปรับตัวอย่างไรให้ดีที่สุด

ส่วนทิศทางอนาคตเศรษฐกิจจีน แจ็คหม่ามองว่า ยังมีโอกาสมหาศาล โดยเฉพาะใน 3 เทรนด์แห่งอนาคตที่สำคัญ

เทรนด์แรก คือ การปฏิรูประบบตลาด แจ็คหม่าเชื่อว่า ในเวลา 10 - 20 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจจีนจะกลายเป็นระบบตลาด (market economy) ยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก บทบาทของนักธุรกิจและผู้ประกอบการจะสูงมาก ขณะที่บทบาทของภาครัฐจะลดลง

แจ็คหม่าบอกว่าคนจีนนี่แปลก ด้านหนึ่งก็ชอบท่องติดปากว่าจะปฏิรูปให้เป็นระบบตลาด แต่ในอีกด้านหนึ่ง เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ก็มีแต่จะเรียกร้องให้รัฐบาลรีบออกมาอัดฉีดมาตรการพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่ 2 สิ่งนี้ขัดแย้งกันเอง

แจ็คหม่าแนะนำว่า นักธุรกิจต้องฝึกทบทวนตัวเองบ่อยๆ ทบทวนโมเดลธุรกิจ ทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจ นักธุรกิจต้องมองภาพไกล จับจุดแข็งของตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ตามเทรนด์ธุรกิจเดี๋ยวนี้ที่หลายคนเริ่มเหมือนนักพนัน เที่ยวเอาเงินไปลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หรืออาศัยการเล่าเรื่องราวปั่นจนมูลค่ากิจการของตัวสูงเสียดฟ้า ทั้งๆ ที่ข้างในกลวง

ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคของจีนบีบบังคับให้ทุกคนต้องเอาจริง ต้องมีของจริง ต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นก็อยู่ลำบาก

เทรนด์ที่สอง ก็คือ กำลังผู้บริโภค แจ็คหม่ามองว่า ความแข็งแกร่งของจีนอยู่ที่ตลาดภายในประเทศที่มีขนาดมหึมา ตอนนี้มีชนชั้นกลางมากกว่า 300 ล้านคน ธุรกิจต่อไป จะเป็นการผสมผสานภาคการผลิตและภาคบริการเข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคเหล่านี้

หลายคนมองว่าอาลีบาบาอยู่ในภาคบริการ แต่จริงๆแล้วอาลีบาบาก็อยู่ในภาคการผลิตด้วย นั่นคือผลิตข้อมูล จัดการข้อมูล เพื่อนำมาใช้เป็นแพลตฟอร์มในการบริการลูกค้าและธุรกิจให้มีประสิทธิภาพที่สุด

เทรนด์ที่สามก็คือ การปฏิรูปด้านอุปทาน (Supply-side reform) และการเปลี่ยนผ่านเป็นเศรษฐกิจข้อมูล (Data-driven economy) ในอนาคต ทุกธุรกิจจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลปริมาณมหาศาล (Big Data) และจะต้องใช้บริการเทคโนโลยี Cloud (อาลีบาบาตอนนี้ลงทุนเต็มที่กับการพัฒนาเทคโนโลยี Cloud สำหรับบริการธุรกิจ)

ในอนาคต ภาคเศรษฐกิจจริงกับภาคเศรษฐกิจเสมือนจริงในโลกออนไลน์ จะผสมผสานกลมกืนกัน ทุกธุรกิจจะต้องเป็นธุรกิจเทคโนโลยีด้วย เป็นธุรกิจข้อมูลด้วย เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) จะเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ทุกคนต้องใช้

ในช่วงท้ายของการบรรยาย แจ็คหม่ายังเตือนนักธุรกิจที่มาฟังล้นห้องด้วยว่า ให้พยายามเข้าร่วมการประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่จะต้องกล้าพูดความจริง ไม่พูดแต่คำพูดสวยหรู พูดโฆษณาตัวเอง หรือพูดสิ่งที่คิดว่าภาครัฐอยากฟัง ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่บ่นหรือวิจารณ์อย่างเดียว แต่ควรต้องเสนอทางแก้ และคำแนะนำทางนโยบายด้วย ภาครัฐจะต้องรับฟังและเรียนรู้จากภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ต้องพร้อมให้ข้อมูลและคำแนะนำเชิงสร้างสรรค์แก่ภาครัฐ

ทั้ง 2 ฝ่ายต้องประสานกันให้ดี เพื่อฝ่าฟันคลื่นลมความผันผวนของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน