ปีใหม่นี้มีอะไรน่าใส่ใจเป็นพิเศษ

ปีใหม่นี้มีอะไรน่าใส่ใจเป็นพิเศษ

สวัสดีปีใหม่ พร้อมกับกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ในช่วงนี้ คงมีการทบทวนกันว่าในปีที่ผ่านไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ในปีนี้จะมีอะไรควรใส่ใจเป็นพิเศษ เราไม่อาจเปลี่ยนอะไรที่ผ่านไปแล้ว แต่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในบางกรณี บทความนี้ จึงมองไปข้างหน้ามากกว่ามองย้อนหลัง

สำหรับคอการเมือง เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคงเป็นการเลือกตั้งของเมืองไทย ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งรัฐบาลใหม่หลังจากรัฐบาล ที่มิได้มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศมาเกือบ 5 ปี เท่าที่พอจะอนุมานได้ ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงกับผลักดันการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากวังวนของวงจรอุบาทว์ที่จองจำการเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2475 ผู้สันทัดกรณีมักมีข้อคิดเห็นไปในแนวเดียวกัน ซึ่งอาจสรุปออกมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงจรอุบาทว์คือ การยึดอำนาจรัฐโดยทหาร หรือรัฐประหาร-การเขียนรัฐธรรมนูญ-การเลือกตั้ง-กระบวนการบริหารประเทศและรัฐสภา-ความขัดแย้งร้ายแรงจนเป็นวิกฤติการณ์-กลับมายังรัฐประหารซึ่งเกิดขึ้นแล้วกว่า 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2475

ความฉ้อฉลเป็นปัจจัยพื้นฐานของการเกิดวงจรอุบาทว์ ผู้กำอำนาจมักบงการให้เขียนรัฐธรรมนูญด้วยเป้าหมายเพื่อเอื้อให้ตนและพวกพ้องครองอำนาจต่อ แต่การครองอำนาจมิได้ยึดเป้าหมายของการบริหารตามหลักวิชาการเพื่อพัฒนาประเทศ หากเพื่อผลประโยชน์ของพวกตนอันเป็นการปูฐานไปสู่การสร้างความขัดแย้งร้ายแรงจนเป็นวิกฤติการณ์ ผู้สังเกตการณ์มองกันว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับล่าสุด มีปัจจัยที่เอื้อให้ผู้ครองอำนาจในปัจจุบันครองอำนาจต่อไป เนื่องจากนักการเมืองจำนวนมากที่แสดงตนว่าจะสนับสนุนให้เกิดรัฐบาลใหม่ตามความประสงค์ของผู้ครองอำนาจ เคยสนับสนุนรัฐบาลที่กระทำความฉ้อฉลจนเป็นที่ประจักษ์ จึงมองได้ว่ารัฐบาลต่อไปจะไร้ธรรมาภิบาลซึ่งจะนำไปสู่วิกฤติการณ์และรัฐประหารอีกครั้ง

รัฐประหารครั้งต่อไปจะเกิดเมื่อไรไม่อาจทำนายได้ ยกเว้นในกรณีมีผู้สร้างวิกฤติการณ์เพราะกลัวแพ้การเลือกตั้งครั้งต่อไป จากวันนี้มีปัจจัยใหม่ซึ่งจะทำให้วิกฤติการณ์ร้ายแรงและสลับซับซ้อนขึ้น นั่นคือ สังคมไทยได้เสพติดยาพิษอันเกิดจากการใช้แนวคิดประชานิยมแบบเลวร้าย จะเห็นว่าในช่วงนี้ ผู้ที่หวังจะครองอำนาจรัฐต่างเสนอโครงการในแนวเกทับกันว่าใครจะให้ของเปล่าแก่ประชาชนมากกว่ากัน โดยมิได้บอกว่าจะหาเงินมาจากไหนเพื่อใช้ในโครงการของตน ประวัติของการใช้นโยบายประชานิยมแนวนี้ชี้ชัดว่า รายได้จากระบบภาษีจะไม่มีทางพอและต่อไปรัฐบาลจะกู้ยืมมากขึ้นซึ่งจะนำประเทศไปสู่ความล้มละลาย เนื่องจากในขณะนี้ ภาระหนี้สินของไทยยังไม่สูงถึงกับพลิกตัวแทบไม่ได้ ความล้มละลายจึงจะยังไม่เกิดขึ้นในปีสองปีข้างหน้า นอกจากปัจจัยภายนอกจะเลวร้ายกว่าในช่วงปีที่เพิ่งผ่านไป

ตลอดปีนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นตัวแปรสำคัญอันดับหนึ่งซึ่งยากแก่การคาดเดาเท่าๆ กับภัยธรรมชาติ พฤติกรรมของเขาสร้างปัญหาทั้งด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศติดต่อกันมาเป็นเวลาสองปีและไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปในทางที่จะมีผลดีต่อสังคมโลก ฉะนั้น เป็นไปได้สูงที่จะเกิดวิกฤติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ วิกฤติจะส่งผลให้เมืองไทยซึ่งยืมจมูกผู้อื่นหายใจในระดับสูงมานาน แต่มีฐานที่นับวันจะสั่นคลอนจากวงจรอุบาทว์และการติดยาพิษประชานิยมประสบปัญหาใหญ่หลวงกว่าประเทศที่มีฐานมั่นคง

ในปีที่โลกมีตัวแปรซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนสูงนี้ เรามีทางออกอย่างไร? สำหรับผู้ดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรมมานาน คำตอบสั้นๆ คือ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มมากนอกจากในด้านการเสริมภูมิคุ้มกันบนฐานของจรรยาบรรณให้แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนั้น หากไม่ถึงกับเบียดเบียนตนเองจนเกินไปพยายามหยิบยื่นสิ่งที่ตนพอหยิบยื่นได้ให้แก่ผู้อื่นบ้าง สิ่งที่หยิบยื่นอาจเป็นการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในชุมชนเป็นรายบุคคลโดยตรง การสละเวลาออกมาร่วมทำกิจกรรมด้านการปกปักรักษาและพัฒนาชุมชนด้วยตนเอง และการบริจาคสินทรัพย์สนับสนุนงานบริการและพัฒนาสังคมของผู้อื่น สิ่งเหล่านี้จะมีผลดีทั้งในปีนี้และในปีต่อ ๆ ไป