การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (Identity Theft)

การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (Identity Theft)

ในปัจจุบันทุกคนในสังคมได้เรียนรู้แล้วว่า การซื้อสินค้าต่างๆ ด้วยการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม

หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ทำได้ง่าย สะดวกและรวดเร็วกว่าการใช้เงินสด อย่างไรก็ตาม ในสังคมเดบิต-เครดิตนี้เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับเหล่าวายร้ายซึ่งใช้ทักษะความรู้ ความสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลและใช้ข้อมูลที่ได้จากการโจรกรรมเหล่านั้นแสวงหาผลประโยชน์จากผู้เคราะห์ร้ายอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ฝันร้ายของพวกเราก็คือมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะเราอาศัยอยู่ในสังคมของลูกหนี้ – เจ้าหนี้ซึ่งการซื้อสินค้า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ความบันเทิง การเดินทาง และที่พักอาศัยสามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบเดบิต-เครดิต

ทั้งนี้ การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลเป็นอาชญากรรมที่แพร่หลายมากที่สุดไม่เฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ หากแต่เกิดขึ้นทั่วโลก การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในปัจจุบันและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจำนวนคดีการโจรกรรมข้อมูลนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะความรวดเร็วของอินเทอร์เน็ตนั้นทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่อยู่อีกซีกโลกก็ตาม จากสถิตพบว่าการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นทุก ๆ เจ็ดวินาทีและคนอเมริกันหนึ่งใน 30 คนตกเป็นเหยื่อของการการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล

การโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (Identity Theft) โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการที่ข้อมูลเอกลักษณ์ส่วนบุคคลถูกนำไปใช้โดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลและนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องอย่างผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การฉ้อโกงหรือการนำข้อมูลเอกลักษณ์บุคคลไปเปิดบัญชีหรือเพื่อสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ผู้กระทำผิดสามารถเข้าถึงข้อมูลเอกลักษณ์ส่วนบุคคลของผู้อื่นได้ความผิดของการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลก็จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อนั้น

ความชั่วร้ายของอาชญากรรมที่โหดร้ายนี้ได้ทำให้เหยื่อโดนลดความน่าเชื่อถือ และกลายเป็นที่ประนามของสังคมในความผิดที่เหยื่อมิได้ก่อขึ้น เหยื่อต้องเสียเงินทองที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีความในการพิสูจน์ว่าตนมิได้เป็นผู้กระทำความผิด สูญเสียเวลาเป็นเดือนเป็นปีในการทำให้ชื่อเสียงของตนกลับมาดีดังเดิม เสียสุขภาพจิตและทนทุกข์ทรมานจากการโดนผู้อื่นประนามว่าเป็นผู้ร้ายโดยสื่อสังคมออนไลน์ที่กระจายข่าวได้อย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความวิตกกังวลว่าตนจะต้องติดคุกติดตะรางจากความผิดที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น บ่อยครั้งที่ความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์และกอบกู้เชื่อเสียง เงินทองของตนกลับคืนมาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ผู้บริสุทธิ์อาจจำต้องถูกจำคุก เนื่องจากผู้ที่โจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลไปนั้น ได้ใช้ชื่อของบุคคลเจ้าของบัญชีเดิมไปก่ออาชญากรรมหรือกระทำสิ่งผิดกฎหมาย

ดังนี้ ความท้าทายทางกฎหมายในการจัดการปัญหาดังกล่าวจึงมีหลายประการด้วยกันกล่าวคือ จะทำอย่างไรให้ผู้เสียหายกลับมามีชื่อเสียงดีดังเดิม ความเสียหายทางการเงินจะได้รับการชดเชยอย่างไร จะทำอย่างไรไม่ให้มีการใช้ข้อมูลของผู้เสียหายไปก่ออาชญากรรมอื่น ๆ อีกในอนาคต ใครคือผู้กระทำความผิดที่แท้จริงที่จะต้องเป็นคู่ความในคดี ในกรณีที่หาตัวผู้กระทำผิดไม่พบจะดำเนินคดีความฟ้องร้องได้อย่างไร

ปัญหาทางกฎหมายที่น่าสับสนมากที่สุดคือการกำหนดว่าใครควรมีฐานะเป็นจำเลยและภายใต้บทบัญญัติความรับผิดทางกฎหมายข้อใดที่ควรใช้ในการฟ้องร้องคดีโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลบ้าง ในเบื้องต้นผู้เสียหายควรดำเนินคดีความฟ้องร้องกับผู้โจรกรรมและผู้สมรู้ร่วมคิดภายใต้หลักกฎหมายว่าด้วยการฉ้อโกงโดยคำนึงถึงสถานการณ์และพื้นฐานข้อเท็จจริงของการโจรกรรมที่เกิดขึ้น ความยากลำบากในการใช้วิธีนี้ก็คือการระบุตัวตนที่แท้จริงของโจรขโมยข้อมูลที่อาจสวมรอยเป็นใครก็ได้ซึ่งทำให้เป็นการยากในการที่จะระบุว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้โจรกรรมข้อมูล แม้ว่าในกรณีที่สามารถระบุได้แล้วว่าใครคือผู้กระทำความผิดที่แท้จริง แต่ก็เป็นการยากที่จะระบุที่อยู่ของผู้กระทำผิด เพราะที่อยู่ปัจจุบันของโจรอาจเป็นที่อยู่ปลอมก็เป็นได้ ทั้งนี้ เนื่องจากการโจรกรรมเอกลักษณ์นั้นมักจะดำเนินการหรือก่อเหตุในต่างประเทศ

นอกจากนี้ในเรื่องการฟ้องร้องคดี เหยื่อคนอื่น ๆ อาจถูกขัดขวางจากการดำเนินคดีความต่อผู้โจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลตามหลักการที่ว่า บุคคลไม่อาจถูกลงโทษหลายครั้งสำหรับการกระทำความผิดครั้งเดียวได้ ศาลปกครองสูงสุดของไทย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 7/2557) ได้เคยวินิจฉัยวางหลักไว้ว่า ”การลงโทษบุคคลไม่ว่าโทษนั้นจะเป็นโทษทางอาญา ทางปกครอง หรือ ทางวินัย ถือได้ว่าเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลผู้ถูกลงโทษ การลงโทษบุคคลมากกว่าหนึ่งครั้งสำหรับการกระทำความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำเพียงครั้งเดียว จึงเท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายเกินความจำเป็นแก่การรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะที่กฎหมายที่ให้อำนาจจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพนั้น ๆ มุ่งหมายจะให้ความคุ้มครอง อันเป็นการขัดกับหลักกฎหมายทั่วไป

กล่าวโดยสรุป หากท่านได้รับความเสียหายจากการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล ท่านควรปรึกษาทนายความว่าจะต้องทำอย่างไรให้ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทองที่สูญเสียไปกลับคืนมาและป้องกันไม่ให้มีการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลอีก ควรฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับผู้โจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลและรวมถึงผู้สมรู้ร่วมคิด ผู้สนับสนุน รวมถึงฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ดูแล ผู้เก็บรักษาข้อมูลเอกลักษณ์บุคคลด้วยเนื่องจากไม่ได้กระทำตามมาตราฐานในการดูแลรักษาข้อมูลเอกลักษณ์บุคคล นอกเหนือจากการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแล้ว ทนายความของผู้เสียหายสมควรที่จะให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจ อารมณ์และความรู้สึกของเหยื่อร่วมด้วย.