ยิ้มเย้ยยุทธจักร

ยิ้มเย้ยยุทธจักร

จีนในศตวรรษที่ 20 เต็มไปด้วยความเดือดร้อน ทุกข์ยาก และการเปลี่ยนแปลง ราชสำนักเสื่อมโทรมหนักจนเกิดปฏิวัติซินไฮ่ 10 ตุลาคม 1911

ราชวงศ์ชิงสิ้นสุด 12 กุมภาพันธ์ 1912 จีนจมอยู่ในวังวนของสงครามระหว่างขุนศึกจนถึงปี 1928 จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้พรรคกั๋วหมินตั๋งของเจียงไคเช็ค สงครามจีนญี่ปุ่นเกิดขึ้น 7 กรกฎาคม 1937 – 2 กันยายน 1945 จากนั้นรัฐบาลเจียงและพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงทำสงครามกันต่อ เหมาชนะและสถาปนาจีนปัจจุบัน 1 ตุลาคม 1949

เพราะเผชิญความโหดร้ายของสงครามและความปั่นป่วนวุ่นวายจนเกือบสิ้นชาติ ผู้คนย่อมต้องการหลักยึดเหนี่ยวทางใจ เมื่อมังกรหยกภาค 1 ที่นำเสนออุดมคติของบู๊เฮียบได้สมบูรณ์ที่สุดปรากฏขึ้น จึงได้รับความนิยมอย่างมาก กิมย้งกลายเป็นดาวจรัสแสงตั้งแต่ปี 1957

เมื่อนำเสนอภาพในอุดมคติ ตัวละครย่อมมีบุคลิกภาพเหนือจริง โดยเฉพาะก๊วยเจ๋งผู้มีภาพลักษณ์วีรบุรุษ นี่คือลักษณะ “ตัวแบน” ในนิยาย ดีก็ดีเลย ชั่วก็ชั่วเลย เพื่อให้เกิดภาพที่ติดแน่นในความทรงจำของผู้อ่าน

แต่โลกอุดมคติกับโลกความจริงต่างกัน มนุษย์ไม่อาจแบ่งแยกได้กระจ่างขนาดนั้น คนเรามีด้านมืดด้านสว่าง ทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อนข้อดีข้อบกพร่อง ผลงานต่อๆ มาจึงมีลักษณะ ตัวกลมเหมือนคนจริงๆ มากขึ้น จุดนี้ไม่เพียงแสดงถึงพัฒนาการของผู้ประพันธ์ ยังเป็นการปรับอารมณ์ความรู้สึกผู้อ่านให้กลับสู่สมดุลในโลกแห่งความจริง และเรียนรู้ที่จะนำอุดมคติของบู๊เฮียบมาปรับใช้ในชีวิตจริง

ตัวเอกยุคหลัง ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่า เอี้ยก๊วยในมังกรหยกภาค 2 ถูกกรอบของสังคมและประเพณีทำร้าย กลายเป็นคนเก็บกดและปลีกวิเวกไปในที่สุด เตียบ่อกี้ในมังกรหยกภาค 3 แม้มีพลังฝีมือสูงสุดและเป็นประมุขพรรค แต่ก็อ่อนแอและขาดความมุ่งมั่นทะเยอทะยาน เหล็งฮู้ชงในกระบี่เย้ยยุทธจักรซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็ปล่อยตัวไม่สำรวม ขาดความเป็นผู้นำและบุคลิกภาพของจอมยุทธ์ และในผลงานอันดับสุดท้าย อุ้ยเสี่ยวป้อกลายเป็น Anti-hero ที่ไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่ฉลาด ไหวพริบดี เอาตัวรอดเก่ง ทั้งยังกะล่อนและเจ้าเล่ห์เพทุบาย (หลายภรรยา) อีกด้วย

คนเราไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม การกระทำอาจเป็นดีหรือชั่ว แล้วแต่ผู้คนให้ค่าหรือตีความ การยกตัวเองว่าดีและกดคนอื่นว่าชั่ว เกิดขึ้นเสมอในทุกที่ตั้งแต่โบราณ  ยุทธจักรแม้แบ่งเป็นธรรมะ-อธรรม แต่เส้นแบ่งก็คลุมเครือยิ่ง ฝ่ายธรรมะก็มีคนชั่ว ฝ่ายอธรรมก็มีคนดี ในมังกรหยกภาค 3 เซ่งคุนอาศัยอิทธิพลเส้าหลินเข้าทำลายพรรคเม้งก่าเพื่อปกปิดความชั่วของตัวเอง พวกเม้งก่าแม้มีพฤติกรรมประหลาด แต่กลับตั้งปณิธานพลีชีพเพื่อชาติ ทำศึกกอบกู้แผ่นดินจากมองโกล ดีชั่ววัดกันที่อะไร ?

ในทัศนะท่านขงจื้อ คนเราสวมหมวกหลายใบ-มีหลายบทบาท การตัดสินผู้คนต้องใช้คุณธรรมใหญ่ ซึ่งหมายถึงประโยชน์สุขแก่คนหมู่มากหรือส่วนรวม มิใช่แค่ส่วนตัวหรือหมู่คณะ  ไทยเป็นสังคมพวกพ้อง คนไทยไม่แบ่งแยกคุณธรรมใหญ่เล็ก ต่อผู้บริหารประเทศก็เช่นกัน ให้ค่าแค่เรื่องซื่อสัตย์สุจริต ทั้งที่จริงแล้ว ความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี ผู้บริหารประเทศต้องการคุณธรรมที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ใช่แค่ไม่โกงกิน นี่คือสาเหตุหนึ่งที่การเมืองไทยไปไม่ถึงไหน

การกล่าวหาดีชั่วเกิดจากการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ ผู้แสวงหาอำนาจไม่แบ่งแยกธรรมะอธรรม ทุกคนเหมือนกันหมดคือพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ในกระบี่เย้ยยุทธจักร มีตัวละครงักปุกคุ้ง ฉายา วิญญูชนจอมปลอม หมายถึงผู้ที่เปลือกนอกสัตย์ซื่อดีงาม แต่จิตใจฉ้อฉลคดโกง หลอกลวงได้ทุกคนเพื่อบรรลุถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ของตัว ต่างจากเหล็งฮู้ชงที่ไม่แสวงหาอำนาจ จึงมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และสงบสุข

กิมย้งต้องการบอกว่า ผู้คนในยุทธจักรหรือที่สังกัดค่ายสำนักองค์กรใด ย่อมไม่อาจเป็นตัวเอง ผู้ต้องการอำนาจในที่สุดต้องตกเป็นทาสของมัน ลุ่มหลงมัวเมาแปดเปื้อนไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงปลดเปลื้องพันธนาการนี้ จึงสามารถใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างแท้จริง

ยิ้มเย้ยยุทธจักร

กระบี่เย้ยยุทธจักรเป็นเรื่องราวสมัยราชวงศ์หมิง (1368 – 1644) แต่กิมย้งเห็นว่า มันเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกองค์กร เพราะการแก่งแย่งอำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เขาเริ่มเขียน 20 เมษายน 1967 ในหมิงเป้า กินเวลา 2 ปีครึ่ง ช่วงนั้นการเมืองในศูนย์อำนาจของจีนเปลี่ยนใหญ่และไร้เสถียรภาพที่สุด

ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ จีนใกล้ชิดและใช้โมเดลเศรษฐกิจของโซเวียต หลังอสัญกรรมของสตาลินและสงครามเกาหลีปี 1953 จีนห่างเหินจนแตกหักในปี 1958 เหมาเสนอแผนเศรษฐกิจใหม่ แต่ล้มเหลวและเกิดเศรษฐกิจตกต่ำ ปี 1961 – 1965 เติ้งเสี่ยวผิงและโจวเอินไหลเพิ่มบทบาทในการวางแผนเศรษฐกิจจนฟื้นตัว เหมากังวลสถานะตัวเองและกลับมากุมอำนาจอีกครั้ง จนนำไปสู่การปฏิวัติวัฒนธรรมปี 1966 – 1970 กิมย้งเขียนได้ไม่นาน บ้านเมืองก็เข้าสู่ภาวะจลาจล

เหมาคือยิ่มอั๊วเกี้ย (ตามใจตัวเองแซ่ยิ่ม) อดีตประมุขนิกายสุริยันจันทราที่แหกคุกและกลับมายึดอำนาจอีกครั้ง ส่วนมาดามเจียงชิงและหลินเปียวก็คืองักปุกคุ้งที่ช่วงชิงอำนาจกับจ้อแนเซียง (เติ้งโจว) ประมุข 5 ขุนเขากระบี่ กิมย้งเขียนเรื่องนี้เพื่อเสียดสีการเมือง จนถูกแบนในจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน

ในมุมโหราศาสตร์ การสิ้นสุดราชวงศ์ชิงและกำเนิดสาธารณรัฐจีน เกิดจากวัฏจักรใหม่ของเสาร์พลูโตเมื่อ 5 ตุลาคม 1914 ที่ 9:34 องศาเมถุน เสาร์คือโครงสร้าง พลูโตคืออำนาจ มันชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ วัฏจักรต่อไปเกิด 11 สิงหาคม 1947 ที่ 20 องศากรกฎ สาธารณรัฐประชาชนจีนถือกำเนิดขึ้น เสาร์เล็ง 180 พลูโต 20 กุมภาพันธ์ 1966 ที่ 24:12 องศากุมภ์-สิงห์ เสาร์คือดาวเจ้าเรือนลัคนาของดวงเมืองจีน เสาร์อยู่กุมภ์-ภพ 2 หมายถึงค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฯลฯ เกิดปฏิวัติวัฒนธรรมและโครงสร้างอำนาจถูกเขย่าอย่างรุนแรง

ไขว่คว้าหาอำนาจแทบตาย สุดท้ายพ่ายแพ้ลิขิตฟ้าดิน