“คน” ต้องมาก่อน “เทคโนโลยี” (13) การคุกคามโดยอ้างข่าวปลอม***

“คน” ต้องมาก่อน “เทคโนโลยี” (13) การคุกคามโดยอ้างข่าวปลอม***

ตอนที่แล้วผู้เขียนทิ้งท้ายว่า “ข่าวปลอม” ที่เห็นว่าเป็นปัญหาที่สุดในไทยทุกวันนี้ ในความเห็นของผู้เขียน

โดยเฉพาะโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง คือ วิธีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO (ไอโอ ย่อมาจาก Information Operations) ในโซเชียลมีเดีย ของรัฐบาล คสช. และการกลั่นแกล้งปิดปากผู้ที่ออกมาวิจารณ์ผู้มีอำนาจทางการเมืองโดยใช้กฎหมายคอมพิวเตอร์ ด้วยข้ออ้างว่าข้อวิจารณ์เหล่านั้นคือ “ข่าวปลอม” ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง 

รองโฆษก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แสดงความกังวลกับสถานการณ์ “ข่าวปลอม” โดยให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ (https://www.benarnews.org/thai/news/TH-fake-news-09062018163757.html) ว่า เฟคนิวส์ (fake news หรือข่าวปลอม) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองและความมั่นคง มีความร้อนแรงมากกว่าเฟคนิวส์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความพยายามสร้างข่าวลวง เพื่อทำลายชื่อเสียงรัฐบาลทหารที่กำลังบริหารงานประเทศอยู่ในขณะนี้ โดยกลุ่มที่หวังผลทางการเมือง และกลุ่มที่หวังผลเป็นรายได้จากยอดผู้เข้าชมและแชร์ ประกอบกับการที่ประเทศไทยกำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้งในปีหน้า ทำให้เฟคนิวส์ประเภทนี้จัดอยู่ในความกังวลอันดับหนึ่งของเจ้าหน้าที่” และขยายความ วิธีจัดการว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงมันมากกว่าเฟคนิวส์ประเภทอื่น ... เราใช้หลักการทางอาชญาวิทยา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในการต่อต้านเฟคนิวส์” 

ปัญหาก็คือ หลายกรณีที่ บก.ปอท. ตีความว่าเป็น เฟคนิวส์ ที่ “ก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ” ผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ (ซึ่งกฎหมายนี้ก็มีปัญหาตั้งแต่ความคลุมเครือของตัวบทมากมายดังที่ผู้เขียนเคยอธิบายหลายครั้งในคอลัมน์นี้) นั้น แท้จริงเป็นเพียงข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล คสช. ซึ่งเป็นการแสดงสิทธิเสรีภาพการแสดงออกตามปกติของประชาชน เพียงแต่คนที่โพสต์และคนที่แชร์เนื้อหาเหล่านั้นถูกมองว่า เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับรัฐบาล (ในมโนทัศน์แบบปฏิบัติการข่าวสาร หรือ IO) อาทิ กลุ่มคนเสื้อแดง บก.ปอท. จึงสั่งฟ้องภายใต้ข้ออ้าง “ข่าวปลอม”

ยกตัวอย่างเช่น ในเดือน มิ.ย. 2561 ปอท. แถลงข่าวออกหมายจับเจ้าของเพจ KonthaiUK ซึ่งเป็นเพจที่รู้กันว่าอยู่ฝั่ง “ตรงข้าม กับรัฐบาล คสช. ในความผิดฐาน “นำสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ตาม มาตรา 14 (2) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ตำรวจ ปอท. แถลงว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก “มีบุคคลนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยได้มีการโพสต์บทความบิดเบือนให้ร้ายรัฐบาลในเพจเฟซบุ๊ก “KonthaiUK” พาดหัวข่าวว่า เรือเหาะก็ซื้อมาซ่อม ยังจะซื้อดาวเทียม 91,200 ล้านมาอีก.. จะยอมมันอีกมั้ย! พร้อมการนำภาพเรือเหาะ ดาวเทียม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มาตัดต่อรวมกัน นอกจากนี้ ยังมีการตัดต่อภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำมาเป็นสื่อกระจายแก่บุคคลต่างๆ ซึ่งการดัดแปลงดังกล่าว อาจส่งผลทำให้ประชาชนที่ได้รับสื่อเกิดความตื่นตระหนก และหลงเชื่อได้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลจริง”

พร้อมกันนั้น ตำรวจยังจับคนทั่วไปที่กดไลค์และแชร์ข่าวนี้อีก 29 คน โดย ปอท. อ้างว่า คนทั้งหมดนี้มีความผิดฐาน เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่งคงปลอดภัยของประเทศหรือความมั่งคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนตามมาตรา 14(5) โทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปัญหาก็คือ โพสต์ที่ ปอท. พูดถึงนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ทั่วๆ ไป แบบที่เราเห็นกันดาษดื่นบนเฟซบุ๊ค และก็อ้างอิงข่าวแผนการจัดหาดาวเทียมจากเว็บข่าว ผู้มีอำนาจการเมืองเกือบทุกคนทุกค่ายเคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์ทำนองนี้ทั้งสิ้น ผู้เขียนดูอย่างไรก็ไม่เห็นว่าเข้าข่ายเนื้อหาที่ “น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ได้เลย และการไปไล่ฟ้องคนอื่นที่แชร์โพสต์นี้ ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ “คุกคามกลั่นแกล้งฝั่งตรงข้ามทางการเมือง” ของรัฐบาล คสช.

การข่มขู่คุกคามผู้วิจารณ์รัฐบาลทหารโดยอ้างว่าเป็น “ข่าวปลอม” ที่ “เป็นภัยความมั่นคง” เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนตลอด 4 ปีที่ผ่านมา อีกกรณีที่ผู้เขียนเห็นว่า ชัดเจนว่าเป็นการ กลั่นแกล้งโดยกฎหมายเกิดขึ้นในวันที่ 23 พ.ย.2558 ซึ่งเพจ iLaw (https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551/10161254143605551/?type=3&theater) สรุปความว่า เฟซบุ๊คเพจกลุ่มประชาธิปไตยศึกษาโพสต์รูปภาพประชาสัมพันธ์กิจกรรม ลอยกระทงขับไล่ (เผด็จการ) อัปมงคล ซึ่งมีกำหนดจัดที่ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ในช่วงเย็นวันที่ 25 พ.ย. 2558 ในภาพโฆษณาที่โพสต์บนเพจดังกล่าว ...มีรูปกระทงถูกลอยบนแม่น้ำและมีการตัดต่อภาพใบหน้าของพล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร รมว.กลาโหมไปอยู่บนกระทงที่ถูกลอยกลางน้ำด้วย ในเวลาต่อมาเฟซบุ๊คเพจ เรารักพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นเพจล้อเลียนการเมืองเพจหนึ่งได้แชร์ภาพดังกล่าวไปไว้ที่หน้าเพจของตัวเองด้วย โดยเพจดังกล่าวมักจะเสียดสีรัฐบาลด้วยการนำภาพนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มาตัดต่อกับข้อความ เช่น “รำไม่ดี โทษรัฐบาลที่แล้ว”

“ต่อมาในวันที่ 27 เม.ย. 2559 ช่วงเช้ามืดมีข่าวทหารบุกจับประชาชนรวม 8 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนที่ในวันต่อมาทั้งแปดคนจึงถูกนำตัวไปที่ บก.ป.เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งทางตำรวจระบุว่าบุคคลทั้งหมดมีพฤติการณ์รับจ้างทำเฟซบุ๊คเพจ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์” โดยมีการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาล และได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหายุยง[ปลุกปั่น]ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ระหว่างการแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ยังมีการแสดงผังกล่าวหาว่าบุคคลทั้งแปดมีความเชื่อมโยงเป็นผู้ทำเพจเฟซบุ๊กให้กับแกนนำหรือสื่อของกลุ่ม นปช.

“คดีนี้มีความน่าสนใจตรงที่โพสต์เรื่องกิจกรรมลอยกระทง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุแห่งการดำเนินคดีไม่ได้เป็นกิจกรรมหรือโพสต์ที่ทางเพจ เรารักพล.อ.ประยุทธ์จัดทำขึ้นเอง เป็นเพียงแต่การแชร์มาจากเพจเฟซบุ๊คอื่น ...นับจากมีการตั้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวทั้ง 8 คนช่วงเดือนเม.ย. 2559 คดี 116 ของ 8 แอดมินเพจ “เรารักพลเอกประยุทธ์” ก็ดำเนินมาอย่างเงียบๆ ซึ่งจนถึงปัจจุบันศาลทหารกรุงเทพสืบพยานคดีไปเพียงปากเดียวคือปาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้กล่าวหา และการสืบพยานปากดังกล่าวก็ยังไม่แล้วเสร็จ“ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิ.ย. 2561 พล.ต.วิจารณ์ได้เบิกความตอบทนายจำเลยถึงกรณีที่ทางเพจแชร์ภาพกิจกรรมลอยกระทงตอนหนึ่งทำนองว่า การโพสต์ข้อความและภาพในลักษณะกิจกรรมลอยกระทงน่าจะมีเจตนาถึงขั้นขับไล่ คสช. ออกไป และเห็นว่ามีข้อความที่เข้าข่ายเป็นการยุยงปลุกปั่น”

"ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2561 พล.ต.วิจารณ์ได้เบิกความตอบทนายจำเลยถึงกรณีที่ทางเพจแชร์ภาพกิจกรรมลอยกระทงตอนหนึ่งทำนองว่า การโพสต์ข้อความและภาพในลักษณะกิจกรรมลอยกระทงน่าจะมีเจตนาถึงขั้นขับไล่ คสช. ออกไป และเห็นว่ามีข้อความที่เข้าข่ายเป็นการยุยงปลุกปั่น

ผู้เขียนเห็นว่า ตราบใดที่สังคมไทยโดยรวมยังไว้ใจวิธีตีความและบังคับใช้กฎหมายของรัฐ โดยไม่ตั้งคำถาม ตราบนั้นการข่มขู่คุกคามภายใต้ข้ออ้าง “ข่าวปลอม” ก็จะยังดำรงอยู่ต่อไป.

 

*** ชื่อเต็ม: “คน” ต้องมาก่อน “เทคโนโลยี” (13) การคุกคามโดยรัฐภายใต้ข้ออ้าง “ข่าวปลอม”