ตลาดหุ้น เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ตลาดหุ้น เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสในการลงทุนอยู่ แต่ต้องมีความพิถีพิถันในการเลือกหุ้นให้มาก

ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ปริมาณซื้อขายเบาบางลงมากเทียบกับอดีต ขณะที่หุ้นดาวเด่นในอดีตหลายตัวถูกขายทำกำไรจนกลายเป็นแนวโน้มขาลง สาเหตุหลักเราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ปริมาณซื้อขายเบาบางลงมากเทียบกับอดีต ขณะที่หุ้นดาวเด่นในอดีตหลายตัวถูกขายทำกำไรจนกลายเป็นแนวโน้มขาลง สาเหตุหลักเราประเมินว่า

1) ประเด็นเรื่องของ 'Valuation' โดย Valuation ของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยในภาพรวมนั้น ยังไม่ถูกเพียงพอที่นักลงทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากเหมือนในอดีต คำว่าตลาดหุ้นยังไม่ถูกนั้นผมบอกในมุมของ i) โอกาสในการถูกปรับลดประมาณการ EPS ของ SET index ลงทั้งจากตัวเลข GDP ที่เริ่มชะลอตัวและราคาน้ำมันที่ปรับลงแรง และ ii) อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยที่เร่งตัวขึ้น แม้ล่าสุดจะเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อย  แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงขึ้นอยู่ดี ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากเมื่อตอนต้นปี

2) ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มเติบโตในระดับที่ชะลอตัวลง หุ้น Growth Stock ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลาง/เล็ก ที่มักจะมี PE สูงตามการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไร เมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่า การเติบโตที่ชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทยและโลกอาจกระทบต่ออัตราการเติบโตของกำไรหุ้นกลุ่ม Growth stock เหล่านั้นได้ จึงเกิดการขายเปลี่ยนตัวเล่นจากหุ้น กลาง/เล็ก - เติบโตสูง (Growth stock) ไปยัง หุ้น ใหญ่ - PE ต่ำ (Value stock) ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี จากการแถลงล่าสุดของประธานเฟดการแถลงของประธาน ธ.กลางสหรัฐฯ (คืนวันพุธที่ 28 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) ว่าดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดขณะนี้ 'ต่ำกว่าระดับสมดุลเพียงเล็กน้อย' ซึ่งต่างจากที่เขาเคยกล่าวเมื่อ ต.ค. ว่าดอกเบี้ยเฟดยังจะปรับขึ้นอีกค่อนข้างไกล ทั้งนี้ล่าสุดสัญญาเฟดฟันด์ฟิวเจอร์ให้น้ำหนักเฟดขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า และปี 2562 ขึ้นอีกเพียงครั้งเดียว และด้วยความคาดหวังเรื่องการเลือกตั้งปี 2562 หลังจากที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในวันที่ 29 พ.ย. คาดว่าจาก 2 ประเด็นนี้ จะทำให้ Valuation ตลาดหุ้นไทยยังยืนในระดับที่พรีเมียมต่อไปได้อีกระยะ

จะเห็นได้ว่าที่ผมวิเคราะห์ภาพรวมเบื้องต้น ตลาดหุ้นไทย ในขณะนี้ยังมีโอกาสในการลงทุนอยู่ แต่ต้องมีความพิถีพิถันในการเลือกหุ้นให้มากขึ้น โดยอาจมุ่งเน้นไปที่หุ้น Value stock ที่ราคาหุ้นตอนนี้ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสม หรือ Downside ต่ำแล้ว รวมทั้งต้องมีประเด็นข่าวบวกเข้ามาช่วยหนุน Sentiment ด้วย ไม่เช่นนั้นนักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นถูกแล้วอาจเจอปัญหา 'Value trap' ได้ (คือซื้อแล้วหุ้นไม่ไปไหน) เราเลือกหุ้น 2 กลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในเดือน ธ.ค.ได้แก่

1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานปริมาณมากของภาครัฐฯ (เดือน ธ.ค. คาดจะมีการรู้ผลการประมูล รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน) รวมถึงงานก่อสร้างโครงการอสังหาต่างๆทั้งในพื้นที่ กทม และพื้นที่ภาคตะวันออก ทำให้เราประเมินว่าอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างของไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง แต่หากพิจารณาหุ้นในกลุ่มฯส่วนใหญ่จะเห็นว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็มีการปรับตัวขึ้นตอบรับแนวโน้มขาขึ้นมาพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ดีหากพิจารณาหุ้น CK (เป้าพื้นฐาน 30 บาท) จะพบว่าราคาหุ้น Laggard กลุ่มฯชัดเจน โดยยังคงแกว่งตัว Sideway บริเวณ 25-26 บาท มาตลอด ขณะที่เราประเมิน Downside ด้าน Valuation ต่ำเนื่องจากหากพิจารณามูลค่าของบริษัทที่ CK ไปทำการลงทุน (BEM, CKP, TTW) จะเห็นว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทต่างๆที่ CK ได้ไปทำการลงทุนไว้ตามสัดส่วน ขณะนี้รวมกันแล้วมีมูลค่าที่สูงกว่า มูลค่าตลาดของหุ้น CK ด้วยซ้ำ หรืออาจกล่าวได้ว่า ขณะนี้นักลงทุนแทบไม่ได้ให้มูลค่าของธุรกิจรับเหมาของ CK ที่มีปริมาณงานในมือกว่า 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเราเชื่อว่า Risk-Reward ของการลงทุนในหุ้น CK ตอนนี้นั้น น่าสนใจที่สุดในกลุ่มฯ กล่าวคือ หากทางกลุ่มพันธมิตรของ CK ชนะการประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาที่หุ้น CK แต่กรณีที่แพ้การประมูล Downside ทางลงก็มีไม่มากเช่นกัน    

2) กลุ่มท่องเที่ยว ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มโรงแรม และ กลุ่มสายการบิน ปรับลดลงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี หากพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวในภาพรวมกลับยังเติบโตได้แบบ YoY แม้ในเดือนต.ค. ที่จำนวนนักท่องเที่ยวรวมที่เดินทางเข้าประเทศไทยจะลดลง -0.51% YoY เป็นเดือนแรกในรอบปี แต่รายได้จากนักท่องเที่ยวยังคงเติบโต +0.66% แสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆที่มีการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนสูงยังเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง และเราประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะค่อยๆฟื้นตัวและน่าจะผ่านช่วงที่ต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้นราคาหุ้นในกลุ่มนี้ที่ปรับลงจากประเด็นการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจึงน่าจะเป็นการปรับตัวลงชั่วคราว หุ้นที่เราประเมินว่าน่าสนใจ สำหรับการลงทุนได้แก่ ERW (เป้าพื้นฐาน 8 บาท), AOT (เป้าพื้นฐาน 82 บาท) เป็นต้น