ใช้ความคิดสร้างความสุข

ใช้ความคิดสร้างความสุข

ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่องดีๆ ให้อ่านเสมอ ผู้เขียนได้พบข้อเขียนหนึ่งที่เตือนใจให้นึกถึงการไม่ด่วนตัดสินคนอื่น ทึกทักว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

และโยงไปถึงการเห็นอกเห็นใจคนอื่นด้วยอย่างมีความเมตตา ข้อเขียนมีดังต่อไปนี้ ‘

“พ่อลูกและหญิงชายคู่หนึ่งนั่งรถไฟไปด้วยกัน หญิงสาวเห็นเด็กผู้ลูกทำอะไรแปลกๆ ก็นึกในใจว่า อะไรกัน โตขนาดนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็ก สงสัยจะมีปัญหาทางจิต ดูซิ แม้แต่ พ่อเค้ายังไม่สนใจเลย’ / ทันใดนั้น เด็กหนุ่มอุทานเสียงดังขึ้นมาอีก / พ่อ ดู โน่นสิ ก้อนเมฆมันวิ่งมากับพวกเราด้วย / คู่สามี-ภรรยาอดใจไม่ไหว จึงพูดกับผู้เป็นพ่อว่า / ทำไมคุณไม่พาลูกชายไปหาหมอดีๆ เช่น จิตแพทย์ ก็น่าจะดีนะ? / ชายชราผู้เป็นพ่อยิ้มและตอบว่าผมเพิ่งพาไปครับ / เราเพิ่งพบแพทย์กันมาแต่ไม่ใช่จิตแพทย์หรอครับ / เราเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลกันครับ / ลูกชายผม ตาบอดมาแต่กำเนิด / เค้าเพิ่งจะมองเห็นวันนี้เป็นครั้งแรก / พฤติกรรมของเค้าอาจจะดูงี่เง่าสำหรับพวกคุณ แต่มันคือปาฏิหาริย์สำหรับผมครับ / คู่สามี-ภรรยา ต่างนั่งอึ้ง พูดไม่ออก / น้ำตาเอ่อท้น และรู้สึกเสียใจ-อับอายเป็นอย่างยิ่ง / ทุกคนบนโลกใบนี้ต่างมีเรื่องราว / อย่าตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป อย่าด่วนสรุปสิ่งที่คุณไม่รู้จริงในเรื่องที่เป็นส่วนตัวของเขา / คุณไม่มีทางทราบหรอกว่าพวกเขามีความเป็นมาอย่างไร หรือเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง / เมื่อความจริงเบื้องหลังเรื่องราวของเขาถูกเปิดเผย คุณอาจจะแปลกใจ / จงใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ยุ่งและกังวลกับเรื่องคนอื่นแม้ว่าคุณจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบก็ตาม / โปรดช่วยกันทำสิ่งดี ๆ ต่อกัน / เรื่องราวนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับฉันและขอส่งเรื่องนี้มาให้คุณเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วย”

ทุกคนที่ซื่อสัตย์กับตนเองคงยอมรับว่า หลายครั้งในชีวิตเราด่วนตัดสินคนอื่นดังสามีภรรยาคู่นี้ เรื่องนี้เตือนใจให้เราต้องคิดรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจหรือพูด เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผลของการเกิดขึ้นทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องที่ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นโดยไม่มีบริบทของมัน

คนขับรถปาดหน้ารถเรา เขาอาจมีเหตุผลจำเป็นอย่างมากก็ได้ เช่น จะตกเครื่องบิน ไปรับพ่อแม่ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอ ฯลฯ หรือเขาคิดกวน ๆ ขึ้นมา หรือตั้งใจเกเรกับเรา เราก็ไม่มีทางรู้ได้ สิ่งสำคัญมิใช่การรู้เหตุของมัน แต่เป็นปฏิกิริยาของเราที่มีต่อการกระทำของเขาต่างหาก

ถ้าเราคิดไปในแง่ลบที่เขาคิดเกเรกับเรา และเราขับรถไล่ตามไปมีเรื่องกับเขา ก็อาจเป็นเรื่องต่อไปยาวให้เดือดเนื้อร้อนใจหรือเสียทรัพย์ เสียเวลา แต่ถ้าเราพยายามคิดไปว่าเป็นความจำเป็นของเขาที่ต้องปาดหน้าเรา เราก็จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ไม่ถือโทษโกรธเคืองได้ ใจเราก็สบาย และไม่มีเรื่องอะไรกับใครด้วย

การเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างมีความเมตตา หรือ compassion นี้ เป็นประโยชน์เพราะไม่ทำให้สังคมวุ่นวาย และไม่ทำให้เราต้องมีเรื่องทุกข์ใจ การมีชีวิตให้ปกติสุขในปัจจุบันที่สังคมเปราะบางก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แล้วเราจะยังทำให้มันอยู่ยากยิ่งขึ้นด้วยการขาด compassion ขึ้นมาด้วยเหตุใด

compassion นี้แหละคือสิ่งที่ทำให้เราสุขใจเพราะได้ทำสิ่งที่ดี สร้างสันติสุขแก่สังคม และสามารถเป็นเครื่องมือทำให้เรามีความสุขใจอย่างปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจอีกด้วย

นอกจากการมี compassion ผ่านการมีความคิดดังว่าซึ่งทำให้เรามีความสุขแล้ว การมีความคิดอีกอย่างว่า ความเป็นปกติ คือ ความวิเศษ ก็สามารถเสริมให้เรามีความสุขยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปาฏิหาริย์มาเป็นตัวช่วย

ท่าน Thích Nhất Hạnh (ทิก เญิ้ต หั่ญ) พระภิกษุชาวเวียดนาม ในวัย 92 ปี แห่งนิกายเซน ของมหายาน ผู้เป็นที่นับถือย่างสูงของชาวโลก ได้กล่าวไว้ว่า “ความเป็นปกติคือความวิเศษ” ดังนี้

“ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำหรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ของชีวิต คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว

ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา” เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับบ้านก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิม ใส่ชุดธรรมดา หน้าตาเราหรือก็ธรรมดา ๆ..... เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีชีวิตธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความ ธรรมดานี้หมดไปล่ะ เช่น อยู่ดี ๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็ง ไปมีเรื่องนอกบ้าน ไปติดยา ไปคบเพื่อนไม่ดี หรือสามี หรือภรรยาเราตาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม หรือเราถูกไล่ออกจากงาน เราประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เป็นอัมพาต

เรื่องที่เคยธรรมดาก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที และในเวลานั้นเองเราจะหวนมาคิดเสียดายความเป็น “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด.....

สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ ขอให้เรารีบชื่นชมกับความ ธรรมดาที่เรามี และใช้ชีวิตกับ สิ่งรอบตัวของเรา ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์อย่างเรา.......”

ทุกคนที่เราพานพบในแต่ละวันนั้น ต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป สิ่งที่เขาขาดหรือเกินไปบ้างจึงเป็นเรื่องที่อภัยให้กันได้ สังคมที่สมาชิกปราศจากปัญหาชีวิตนั้นไม่มีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า