คิดถึงคนหนุ่มสาวในยุคแสวงหา

คิดถึงคนหนุ่มสาวในยุคแสวงหา

วันนี้ผมขอเสนอกลอนเปล่า -รูปแบบหนึ่งของบทกวี แทนบทความ สำหรับผู้อ่านที่สงสัยว่าบทกวีจะเกี่ยวกับคอลัมน์ปฏิรูปประเทศไทยที่ตรงไหน

ผมขอตอบว่าสังคมที่ผมอยากเห็นนั้น ผู้คนควรได้เรียนรู้ที่จะอ่าน,ชื่นชมบทกวีและศิลปะวรรณกรรมอื่นๆด้วย

คิดถึงคนหนุ่มสาวในยุคแสวงหา

“กลอนเปล่า “ภูกระดึง” ของคุณทำให้คนที่เคยไปด้วยกันมาครั้งนั้นเขาทึ่งมาก เพราะคุณช่างเก็บอะไรต่ออะไรไว้ในขณะที่พวกเขามองผ่านเลยไป -- ดิฉันก็เคยคิดจะกลับไปที่นั่นอีกเหมือนกัน ไปเพื่อที่จะบอกเด็กหนุ่มช่างฝันคนหนึ่งว่า เธอไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวหรอก ใครๆ เขาก็อยากเป็นเพื่อนเธอทั้งนั้น

เธอจะได้นึกถึงประโยคนี้หรือเปล่า ฉันไม่มีทางจะได้รู้ แต่สิ่งที่ฉันรู้แน่ก็คือ ฉันได้เสียเพื่อนที่ดีที่สุด และประเทศที่น่าสมเพชแห่งนี้ก็ได้เสียลูกสาวที่ดีที่สุดคนหนึ่งไปตลอดกาลเสียแล้ว”

ข่าวร้ายจากภูเขา เรื่องสั้นของวิทยากร เชียงกูล

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารหนุ่มหน้าสาวสวย เมษายน 2512

หญิงสาวคนที่ฉันเขียนถึงในเรื่องสั้นเมื่อ 49 ปีที่แล้ว คือเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง

เราคบกันแบบกึ่งห่างกึ่งสนิท ราว 2 ปี ส่วนใหญ่คุยกันทางจดหมาย

แล้ววันหนึ่งปรากฏการณ์หินถล่มที่ภูกระดึงก็พรากเธอและเพื่อนนิสิตอีก 2 คนจากโลกนี้ไป

ฉันไม่รู้หรอกว่าคนที่จากโลกนี้ไปแล้วไปที่ไหน เขาจะกลับมาเยี่ยมเราในความฝันได้หรือไม่ หรือเพียงแต่จิตใต้สำนึกของเราฝันไปเองเท่านั้น

คืนหนึ่ง หลายเดือนที่แล้ว ฉันฝันว่านั่งพูดคุยกับเธอที่ทุ่งหญ้าที่สวยงามแห่งหนึ่ง

ไม่ชัดเจนว่าที่ไหน อาจเป็นทุ่งหญ้าที่ในภูกระดึงที่ครั้งหนึ่งเราเคยเดินไปด้วยกันกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่น หรืออาจเป็นทุ่งหญ้าในโลกแห่งความฝัน

ที่ชัดเจนเหมือนความจริงมากคือ ดวงหน้าที่ยิ้มแย้ม เบิกบาน แจ่มใส ของหญิงสาวผู้มองโลกในแง่ดี และความรู้สึกอบอุ่นของฉันที่ได้มาพบและนั่งพูดคุยกับเธอ ในสภาพที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่

ฉันจำไม่ได้ว่าเราคุยเรื่องอะไรกัน มันอาจเป็นเรื่องความใฝ่ฝันว่าเมื่อเธอเรียนจบเธออยากไปเป็นครูในชนบท อยากจะทำอะไรในอนาคต

อาจเป็นเรื่องของชีวิตและสังคมโดยทั่วๆ ไป

หรือเราอาจเพียงนั่งอยู่ด้วยกันเฉยๆ สื่อสารกันเงียบๆ และชื่นชมกับความสงบและงดงามของธรรมชาติรอบตัวเรา

ในสมัยที่เรายังหนุ่มสาว ชีวิตช่างอุดมไปด้วยความสวยงาม ความใฝ่ฝัน และความหวัง

เธอจากโลกนี้ไปตั้งแต่ 49 ปีที่แล้ว แต่ภาพของเธอที่ฉันเห็นในความฝันคืนนั้น ยังคงอยู่ในวัยสดใส

คนที่จากไปก่อน หยุดชีวิตของเธอไว้ที่วันนั้น เธอไม่ได้แก่ไปตามกาลเวลาลงเหมือนพวกเราที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมา

เธอหยุดชีวิตแค่วัยนิสิตตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

เธอไม่ได้เข้าร่วมและไม่ได้เห็นความปิติยินดีของพวกเรา ชัยชนะของนักศึกษาประชาชนหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

เธอไม่ได้รับรู้ความตายและความปวดร้าวของพวกเราในเหตุการณ์วันสังหารประชาชน 6 ตุลาคม 2519

เธอไม่ได้มีส่วนร่วมในการมีความหวังเล็กๆ ในตอนนั้นว่า สักวันหนึ่ง พวกเราจะเป็นฝ่ายชนะในสงครามปฏิวัติเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้น

และไม่ได้ร่วมผิดหวังไปกับความล้มเหลวของขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในอีกหลายปีต่อมา

ความฝันของเธอยังสดใส สวยงาม ความฝันของเธอไม่ได้บอบช้ำ ไม่ได้มีริ้วรอย ขีดข่วน เหมือนความฝันของพวกเราที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมา

เพื่อเผชิญกับโลกความเป็นจริงที่ซับซ้อน และไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ที่ต่างไปจากโลกในยุค๑๔ตุลาที่ไฟแห่งการยืนหยัดต่อสู้ของคนหนุ่มสาวในยุคนั้นยังลุกโพลง

และด้วยความเชื่อมั่นว่าคนหนุ่มสาวที่มีจิตใจมุ่งมั่นจะไม่มีวันพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ

ในความฝัน ฉันจำถ้อยคำที่เราพูดคุยไม่ได้ จำได้แต่ภาพของเธอผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก็ดูมีวุฒิภาวะ เหมือนเธอรับรู้และเข้าใจพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อมา คนหนุ่มสาวที่เคยใฝ่ฝัน และทุ่มเทกายและใจที่จะทำให้ส่วนหน่งของโลกนี้สวยงามขึ้น

ฉันคิดไปเองว่าเธอทีท่าทีให้กำลังใจฉันว่า ไม่เป็นไรดอก ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เธอดำเนินชีวิตของเธอต่อไปเถอะ มีชีวิตอยู่และใฝ่ฝันต่อไป

แม้ฉันจะแค่ได้พบเธอในความฝันในคืนธรรมดาคืนหนึ่ง ภาพที่ฉันได้เห็นช่างเป็นภาพที่ชัดเจน อ่อนไหว สวยงาม อบอุ่น เป็นพิเศษ

อาจจะเป็นเพราะมันคือส่วนเสี้ยวความทรงจำในชีวิตจริงที่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนสายน้ำไหล ที่จะไม่หวนกลับคืนมาที่จุดเดิมอีกแล้ว

ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและความรู้สึกดีๆ ขอบคุณสำหรับความฝันที่สวยงามและอบอุ่น ขอบคุณสำหรับการได้ตื่นขึ้นมาและได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกวันหนึ่ง.