เตรียมรับมือสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์

เตรียมรับมือสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์

ในช่วง 2 ปีมานี้มีการปิดตัวลงของสาขาธนาคารต่างๆ ในไทยกว่า 400 แห่ง

 ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดจากเรื่องเศรษฐกิจ แต่หากเป็นเพราะพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปจากเทคโนโลยีประเภทโมบาย จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและสมาร์ทโฟน ซึ่งเราเรียกยุคนี้ว่า “ยุค Mobile First” และธนาคารเองก็พยายามลดต้นทุนโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการลูกค้าให้มากที่สุด การสมัครเข้าใช้และซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของธนาคารสามารถทำได้บนโมบายกันเกือบหมดแล้ว ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรของทั้งธนาคารและลูกค้าอย่างเราๆ กันได้มาก

ผมรอวันที่การไปธนาคารมีเพียงครั้งเดียว คือการไปเปิดบัญชีแรกกับธนาคารนั้นๆ เพื่อ KYC แล้วตลอดชีวิตไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสาขาเลยจะมาถึง ซึ่งการลดความสำคัญของธนาคารสาขาลงจะทำให้เราเข้าใกล้ “สังคมไร้เงินสด” ไปอีกขั้น

สังคมไร้เงินสดนอกจากจะทำให้เราสะดวกสบายในการจับจ่ายในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์หนาๆ แล้ว การจัดระเบียบธุรกรรมการทำบัญชีทั้งของร้านค้าผู้ขายเองก็ง่าย ทั้งลูกค้าผู้ซื้อก็สามารถทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนตัวเพื่อสามารถวิเคราะห์และวางแผนการเงินในแต่ละเดือนได้ง่าย และถ้ามองในแง่เศรษฐกิจ การที่ระบบ e-Payment ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยและเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นอีกด้วย

 กลุ่มประเทศอาเซียนได้วางแผนโครงการ e-payment ไว้ร่วมกันโดยขั้นแรกแต่ละประเทศจะทำเพื่อรองรับการใช้งานภายในประเทศ หลายประเทศมีโครงการโอนเงินโดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ เช่น ไทย-PromptPay สิงคโปร์-PayNow มาเลเซีย-RPP เป็นต้น โดยในกลุ่มประเทศอาเซียนสิงคโปร์ถือว่าเป็นผู้นำในด้าน “สังคมไร้เงินสด” ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า 9 ใน 10 คนสิงคโปร์ นั้นต้องการทำธุรกรรมผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านมือถือสมาร์ทโฟน และในปัจจุบันกำลังผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชำระเงินกับประเทศในกลุ่มอาเซียน (Cross-Border Electronics Payments)

 สำหรับประเทศไทยการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking ในปีนี้มีสูงถึง 60% จากจำนวนธุรกรรมทั้งหมด และจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยให้เห็นว่าใน 3 ปีที่ผ่านมา ไทยเรามีปริมาณการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนสูงขึ้นถึง 509% โดยในปี 2018 นั้นมีมูลค่าธุรกรรมผ่าน Mobile Banking ทั้งสิ้น 1,031 พันล้านบาท ซึ่ง TEPA (Thailand E-Payment Trade Association) ได้คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์” ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

 แน่นอนว่าทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ หรือร้านค้าทั่วไปจำเป็นต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเสริมบริการของเราให้ชิงความได้เปรียบในยุคไร้เงินสดนี้ เช่น

 ใช้ e-Payment & e-Wallet

ร้านค้าไหนยังจ่ายเงินด้วย QR Code หรือ e-Wallet รายใหญ่ๆ ไม่ได้ อีกไม่นานก็จะถือว่าเชยแล้ว การที่หลายๆ ร้านรับจ่ายด้วย QR Code ทำให้วันนี้ผมแทบจะไม่ต้องพกเงินสดเลย หมดปัญหาน่าเบื่อเวลาเงินทอนเป็นเศษเหรียญแล้วหนักกระเป๋า ร้านค้าเองก็ไม่ต้องคอยแลกเงินทอนและเป็นภาระเอาเงินไปเข้าแบงค์ทุกวันเป็นจำนวนมากๆ อีกต่อไป ถ้าสินค้าและบริการของคุณเป็นแบบที่ลูกค้ามาซื้อบ่อยๆ อาจจะเริ่มคิดถึงการทำ e-Wallet ของตัวเองซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการพัฒนาระบบแบบ White Label ที่มีใบอนุญาตถูกต้องครบถ้วน พร้อมติดแบรนด์คุณขึ้นเป็น e-Wallet ของร้านคุณได้เลย นอกจากนี้ในอนาคตเมื่อ Cryptocurrency และการใช้จ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เริ่มมากขึ้น e-Wallet จะเป็นอีก Feature หนึ่งที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้ากับร้านของคุณได้

 วางแผนกลยุทธ์สะสมแต้ม แลก Reward

เมื่อใช้จ่ายด้วย e-Wallet อีก Feature หนึ่งที่น่าสนใจคือการทำ Loyalty Program ที่ง่ายกับลูกค้าขึ้นเยอะ เพราะสามารถเก็บข้อมูลการใช้จ่ายกับทางร้านของลูกค้าแต่รายได้ง่ายขึ้นมาก การตอบแทนลูกค้าหรือสามารถนำแต้มไปซื้อของทั้งในร้านเองหรือกับพันธมิตรทางการค้าก็ทำได้ไม่ยาก ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายรายที่พร้อมจะพัฒนาระบบเหล่านี้ให้คุณพร้อมใช้ภายในไม่กี่สัปดาห์

ต่อยอดวางแผนภาษี วางแผนการเงิน เพื่อติดจรวดธุรกิจ

เมื่อธุรกรรมต่างๆ ขึ้นบนระบบอิเล็กทรอนิกส์หมด การต่อยอดเพื่อวางแผนภาษี และวางแผนการเงินของธุรกิจผ่านโปรแกรมวางแผนการเงินต่างๆ ก็สามารถทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น Robo Advisory หรือ AI ที่เป็นตัวช่วยแนะนำการจัดการด้านการเงินการลงทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด