ช่วยหยุดพฤติกรรมรุนแรงอย่างจริงจัง

ช่วยหยุดพฤติกรรมรุนแรงอย่างจริงจัง

ข่าวคราวของผู้ใหญ่ฆ่าแกงกัน กลั่นแกล้งกัน  ข่าวครูข่มขืนนักเรียน ข่าวผู้บังคับบัญชาลวนลามทางเพศลูกน้องหญิง

ข่าวเด็กแกล้งเพื่อนอย่างรุนแรงโหดร้าย ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องราวที่เราได้รับทราบกันอยู่เนืองๆ และไม่นานมานี้ก็เป็นเรื่องที่เด็กกลุ่มหนึ่งรุมกันแกล้งเพื่อนที่มีสติปัญญาไม่สมบูรณ์นัก ถึงขนาดทุบติและกระทืบรุ่นน้องอย่างทารุณ เห็นข่าวแล้วก็สะท้อนใจว่าเด็กอายุนิดเดียวทำไมถึงได้ใจร้ายกันอย่างนี้ ไม่นึกสงสารคนที่เจ็บปวดร้องไห้ช่วยตัวเองไม่ได้หรอกหรือ ไม่เคยนึกบ้างหรือว่าถ้าเป็นตัวเองโดนแบบนั้นจะรู้สึกอย่างไร นอกจากเด็กจะแกล้งเด็กด้วยกันแล้ว เด็กหลายคนก็ชอบแกล้งสัตว์ด้วย เช่น เอาก้อนหินขว้างปาแมว สุนัข นกที่ผ่านมาให้เห็นในสายตา และที่สะท้อนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บรรดาผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างก็มิได้ห้ามปรามทำโทษอย่างเป็นจริงเป็นจัง กระทั่งครูในโรงเรียนก็เช่นกัน มีการทำโทษทำทัณฑ์บนกัน แต่มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ระบบการทำโทษก็ไม่เข้มมากพอที่จะหยุดพฤติกรรมการกลั่นแกล้งที่รุนแรงในโรงเรียนได้ ดิฉันคิดว่าสังคมต้องร่วมมือกันต่อต้านและป้องกันพฤติกรรมนี้อย่างจริงจังเป็นระบบ ก่อนที่เด็กเหล่านี้จะโตขึ้นกลายเป็นอันธพาลที่เห็นการทำร้ายร่างกายคนและสัตว์เป็นเรื่องธรรมดา

เท่าที่ดิฉันจำได้ รู้สึกว่าโรงเรียนที่ตนเองเคยศึกษามาก็ไม่เคยอบรมสั่งสอนเรื่องพฤติกรรมรุนแรงของเด็กในโรงเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังเช่นกัน จริงอยู่ที่โรงเรียนมีการสอนวิชาศีลธรรม สอนเรื่องศาสนา และเด็กที่แกล้งเพื่อนก็ได้รับการลงโทษ แต่การลงโทษเกิดขึ้นหลังจากการแกล้งกันได้เกิดขึ้น แล้ว ไม่เคยได้ยินครูสั่งสอนว่าการใช้วาจาและพฤติกรรมแบบใดที่ไม่เหมาะสม ยกตัวอย่าง เช่น หากมีเพื่อนที่มีอวัยวะร่างกายไม่สมบูรณ์ เราควรปฏิบัติอย่างไรกับเขา แทนที่จะล้อเลียนปมด้อยของเพื่อน หรือแกล้งเพื่อนให้ลำบากยิ่งขึ้น บางคนเห็นเพื่อนเป็นโปลิโอ แทนที่จะมีน้ำใจช่วยเหลือในสิ่งที่เพื่อนทำไม่สะดวก กลับแกล้งขัดขาเพื่อนให้หกล้ม ถือเป็นเรื่องสนุก ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้อย่านึกว่าคนทแกล้งยังเป็นเด็กอยู่ ปล่อยไปเถิด เราจะให้อภัยได้เพราะเป็นเด็ก ความจริงแล้วคือ เด็กสี่ห้าขวบก็รู้ความพอที่จะเข้าใจว่าอะไรคือการให้รางวัลและอะไรคือการลงโทษ  ดิฉันมีความเห็นว่าหากต้องการหยุดพฤติกรรมรุนแรงในโรงเรียน และในสังคม คนในสังคมต้องร่วมมือกันค่ะ

อบรมสั่งสอนตั้งแต่อนุบาลเรื่องเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ทุกศาสนาสอนให้คนเรามีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก แทนที่โรงเรียนจะมุ่งเน้นสอนแต่เรื่องวิชาการ โรงเรียนควรสอน เรื่องกิริยามารยาทและจริยธรรมให้ติดเป็นนิสัยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อที่เยาวชนจะได้เติบโตเป็นพลเมืองของโลกที่มีทั้งความรู้ กิริยามารยาทและจริยธรรมที่ดี ครูต้องช่วยสั่งสอนทั้งในและนอกห้องเรียน ตามไปดูว่าเวลาทานอาหาร นักเรียนมีพฤติกรรมอย่างไร ทานข้าวมูมมามเสียงดัง แย่งอาหารเพื่อนหรือเปล่า พูดจาด้วยถ้อยคำแบบใด เมื่อพบผู้ที่มีความพิการทางร่างกาย ห้ามล้อเลียน ไม่ควรจ้องอวัยวะส่วนที่พิการนั้นนานๆซึ่งจะทำให้ผู้นั้นไม่สบายใจ ต้องเสียสละช่วยเหลือผู้พิการอย่างไรจึงจะพอเหมาะพอควร ต้องรู้จักให้เกียรติผู้หญิง เคารพผู้อาวุโส ต้องสอนให้ซึมลึกลงไปว่าการแกล้งเพื่อน การแกล้งสัตว์เป็นพฤติกรรมที่ทางโรงเรียนไม่ยอมรับ ต้องได้รับโทษ ซึ่งแน่ละ ต้องไม่ใช่การตีอย่างทารุณ แต่เป็นการลงโทษให้จำ เช่น ต้องไปขอโทษเพื่อนที่โดนแกล้ง หรือโดนตัวเองด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ต้องทำความสะอาดโรงเรียนหนึ่งสัปดาห์ เป็นต้น ทั้งนี้ต้องทำให้นักเรียนเข้าใจว่าพฤติกรรมพูดหยาบคายและทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย สังคมไม่ยอมรับ เด็กใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนหลายปีด้วยกัน หลายๆปีในโรงเรียนย่อมช่วยขัดเกลาความหยาบกระด้างในจิตใจและช่วยสร้างความเมตตาขึ้นได้บ้างเป็นแน่ และเมื่อพ้นจากโรงเรียนไปแล้วเข้ารั้วมหาวิทยาลัย ก็ต้องให้มหาวิทยาลัยรับช่วงต่อ อย่าสอนแต่วิชาชีพไว้ทำมาหากินเท่านั้น ต้องสอนวิชาการใช้ชีวิตที่ดี ให้เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมด้วย

อบรมพนักงานในองค์กรให้มีค่านิยมที่ถูกต้อง หลายท่านคงบอกว่ากว่าบรรดาเด็กๆทั้งหลายจะเติบโตเล่าเรียนจนสำเร็จและเข้ามาเป็นพนักงานในองค์กร มันคงสายไปแล้วที่จะอบรมอะไรเพิ่มเติมอีกในเรื่องจริยธรรม มันยังไม่หมดหวังขนาดนั้นหรอกค่ะ พนักงานหลายคนยังสามารถดูดซึมเอาสิ่งดีๆในองค์กรเข้าไว้ในจิตสำนึกและพฤติกรรมได้ เรื่องบางเรื่องพนักงานบางคนอาจไม่มีความรู้ความเข้าใจมาก่อน เช่น การพูดจาหยอกล้อทางเพศเต่อหน้าพนักงานหญิงเป็นสิ่งที่ห้ามทำในที่ทำงาน การจ้องมองรูปร่างเพศตรงข้ามเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพและไม่ควรทำ เป็นต้น เรื่องแบบนี้อย่านึกว่าทุกคนควรรู้เอง ต้องมีการสื่อสารและฝึกอบรม สำคัญที่องค์กรเองต้องมีความชัดเจนว่าท่านจะเน้นค่านิยมเรื่องอะไร เช่น เน้นเรื่องเมตตาธรรม ความยุติธรรม การให้เกียรติพนักงานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมและรูปพรรณสัณฐาน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม  ฯลฯ  ซึ่งท่านก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าเหล่านี้คือค่านิยมขององค์กร การฝึกอบรมปฐมนิเทศ การประเมินผล การให้รางวัลก็ต้องจัดให้ส่งเสริมค่านิยมเหล่านี้ หากทำครบวงจรก็จะสามารถปลูกฝังค่านิยมเหล่านี้ให้กับพนักงานได้อย่างจีรังยั่งยืน

สร้างระบบร้องเรียนอุทธรณ์และป้องกันการกระทำรุนแรงทางกายภาพ นอกจากจะเน้นเรื่องการอบรมสั่งสอนแล้ว การติดตั้งกล้องวงจรปิด การสุ่มตรวจอาวุธในโรงเรียน การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง-ชาวบ้าน- ตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเพื่อสอดส่องรายงานการกระทำรุนแรงต่อคนและสัตว์ในโรงเรียนและชุมชนก็เป็นอีกมาตรการที่ต้องใช้ร่วมกันเพื่อป้องกันพฤติกรรมรุนแรงอย่างได้ผล ในเวลาเดียวกันในสังคมก็มีคนโรคจิตและเด็กที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรชอบรายงานเท็จเพื่อใส่ร้ายและแกล้งผู้อื่นโดยไม่มีมูลความจริง ก็ต้องมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับคนแจ้งเหตุเท็จด้วย

ส่งเสริมให้รางวัลผู้มีความประพฤติดีอย่างจริงจัง  สังคมบ้านเราและทั่วโลกค่อนข้างจะเน้นการให้รางวัลคนเก่งมากกว่าคนดี รางวัลนักประดิษฐ์ นักวิจัย ล้วนเป็นรางวัลที่มีมูลค่าสูงกว่ารางวัลผู้มีความประพฤติดีมากมายหลายเท่า อย่าลืมว่าคนดีต้องการกำลังใจมากเหลือเกินที่จะไม่ท้อถอยปล่อยจิตใจให้เป็นทาสกิเลส ควรเพิ่มรางวัลให้กับเด็กที่มีความประพฤติดีให้มากๆ ถึงแม้เขาอาจจะเรียนไม่เก่งมากมาย แต่ควรส่งเสริมให้เด็กดีมีอนาคตที่รุ่งเรืองไม่แพ้เด็กเก่ง จะได้มีคนดีจำนวนมากๆไว้ถ่วงดุลกับคนไม่ดี

ในเมื่อเรื่องนี้เป็นปัญหาสังคม คนในสังคมก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือในการแก้ไขค่ะ