“เจ้าสัวใจบุญ” เมื่อความรวยมาพร้อมกับ“ความดี”
สวัสดีค่ะ ข่าวใหญ่ที่น่าเศร้าของคนไทยและคนทั้งโลกเมื่อเร็วๆ นี้ คือการจากไปของเจ้าสัว“วิชัย ศรีวัฒนประภา”
ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับที่5ของประเทศไทย ที่จากไปด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ในประเทศอังกฤษ
สิ่งที่เราได้เรียนรู้ภายหลังการจากไปของเจ้าสัววิชัย คือคุณงามความดีมากมายที่เขาเคยสร้างสรรค์ไว้ขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาสโดยเฉพาะด้านการกีฬาและการศึกษาแก่เยาวชนไทย การช่วยเหลือทางการกุศลต่างๆ และนอกจากจะทำทีมเลสเตอร์ให้เป็นที่รู้จักแล้ว “เศรษฐีใจบุญ” อย่างเจ้าสัววิชัยยังได้ให้การสนับสนุนต่างๆ แก่เมืองเลสเตอร์ ทั้งการบริจาคช่วยเหลือด้านสาธารณสุข และการคึกษา จนแฟนบอลในอังกฤษยกให้เจ้าสัววิชัยเป็นเจ้าของที่ “ดีที่สุด” ในลีกอังกฤษ
นอกจากเจ้าสัววิชัยแล้ว วันนี้ดิฉันจึงมีเรื่องราวของเจ้าสัวใจบุญที่ยังมีอยู่ไม่น้อยในโลกนี้ และแนวโน้มที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ โดยนำมาจากรายงานWealth-X Billionaire Census 2018 ที่จัดทำโดยWealth-Xผู้ให้บริการข้อมูลด้านความมั่งคั่ง ที่ได้ศึกษาแนวโน้มของพฤติกรรม “การให้” ของบรรดาอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก
จากรายงานพบว่า มูลค่าความมั่งคั่งของอภิมหาเศรษฐีที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในรอบหลายปีที่ผ่านมานั้นสอดคล้องกับแนวโน้มของกิจกรรมการบริจาคหรือช่วยเหลือสังคมของกลุ่มอภิมหาเศรษฐที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องมาจากเหตุผลที่ปัจจุบันมีการตระหนักถึงปัญหาสังคมโลกและปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกมากขึ้น รวมถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปของบรรดาอภิมหาเศรษฐีที่เริ่มมีแตกต่างและหลากหลายรุ่นมากขึ้นโดยจากสถิติของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีทั่วโลกที่มีความมั่งคั่งสุทธิหรือNet Worthเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500 ล้านดอลล่าร์ต่อราย (ประมาณ 1.12 แสนล้านบาท) พบว่ามีกลุ่มมหาเศรษฐีเหล่านี้มีการบริจาคตลอดช่วงชีวิตเกือบ 3%ของความมั่งคั่งสุทธิของเขา ซึ่งนับเป็นมูลค่าราว105 ล้านดอลล่าร์ (ประมาณ 3,360 ล้านบาท)
ซึ่งอภิมหาเศรษฐีบางคนก็เลือกที่จะบริจาคเงียบๆ ด้วยเหตุผลส่วนตัว ความเชื่อ หรือความศรัทธาส่วนตัวต่างๆ และมีมากกว่าครึ่งที่เลือกเข้าไปสนับสนุนกิจกรรมการกุศลต่างๆ อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งองค์กรการกุศลขึ้นมาเองหรือผ่านหน่วยงานการกุศลต่างๆ โดยจากสถิติพบว่ามีอภิมหาเศรษฐีประมาณ 35%ที่มีหน่วยงานการกุศลเป็นของตนเอง
และจากรายงานพบว่าการสนับสนุนด้าน “การศึกษา” เป็นสิ่งที่ได้รับความสำคัญมากที่สุด โดยมีประมาณ 2 ใน 3 ของอภิมหาเศรษฐีที่ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของทุนการศึกษา การสนับสนุนทางการศึกษาต่างๆ เช่น การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส การฝึกอบรมครู การให้ทุนศึกษาต่อ เป็นต้น โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 21%ของการบริจาคทั้งหมดของกลุ่มอภิมหาเศรษฐี และอันดับรองลงมาคือการสนับสนุนด้าน “การแพทย์และสาธารณสุข” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14%ของการบริจาคหรือการให้ทั้งหมด
และสำหรับแรงบันดาลใจให้อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับ “การให้” มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากโครงการThe Giving Pledge(พันธสัญญาแห่งการให้) ทั่วโลกคงไม่มีใครไม่รู้จักอภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลกที่มีนามว่า“บิล เกตส์” ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ โดยในปี 2010 บิลและภรรยาได้ร่วมกับ“วอร์เรน บัฟเฟตต์” อภิมาเศรษฐีนักลงทุน ได้ร่วมกันจัดทำโครงการThe Giving Pledgeโดยเป็นโครงการที่ขอให้อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมลงนามในพันธะสัญญาว่าจะบริจาคอย่างน้อย “ครึ่งหนึ่ง” ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่การกุศลขณะที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ได้ โดยเป็น “สัญญาใจ” ที่ไม่ได้มีผลทางกฏหมายใดๆ ทั้งสิ้น
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีอภิมหาเศรษฐีเข้าร่วมโครงการแล้ว 175 รายใน 22 ประเทศ โดยแม้จะคาดเดามูลค่าได้ยาก แต่ก็อาจลองคำนวณได้จากตัวเลขคร่าวๆ ว่าในปี 2016 ความมั่งคั่งสุทธิของคนที่ร่วมลงนามมีมูลค่ารวมกันราว 7.35 แสนล้านดอลล่าร์ ซึ่งเท่ากับว่าครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 3.5 แสนล้านดอลล่าร์(ราว 11.5 ล้านล้านบาท) จะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการกุศลต่อไป
หลังจากที่จำนวนอภิมหาเศรษฐีร่วมลงนามในThe Giving Pledgeมากขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนประชากรอภิมหาเศรษฐีที่มีมากขึ้น ทางWealth-Xจึงคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 มูลค่าการลงนามบริจาคในThe Giving Pledgeอาจจะสูงขึ้นอีกเกือบเท่าตัวถึง 6 แสนล้านเหรียญ ซึ่งการริเริ่มโครงการอย่างThe Giving Pledgeสะท้อนให้เห็นว่ายังมีบรรดาเศรษฐีใจบุญทั่วโลกอีกมากที่ตระหนักถึงปัญหาของสังคม และแรงกดดันจากปัญหาสังคมนี้เองที่ทำให้รูปแบบการให้หรือการกุศลได้พัฒนารูปแบบใหม่ๆ และเครื่องมือใหม่ๆ ตั้งแต่การจัดตั้งกองทุน ไปจนถึงการลงทุนแบบImpact investment(การลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบ) และVenture philanthropy(การร่วมให้ทุนสนับสนุนการทำกิจการเพื่อสังคมและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดEffective Altruismซึ่งเป็นการช่วยผู้อื่นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และต่อไปเมื่อบรรดาอภิมหาเศรษฐีมีการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ก็เชื่อว่าจะมีแนวโน้มของการให้แบบนี้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต
และนี่คือตัวอย่างของอภิมหาเศรษฐีหรือ “เจ้าสัวใจบุญ” ที่ยังมีอยู่ทั่วโลก..เพราะคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่ “ความดี” นั่นเองค่ะ