เค้าโครงเศรษฐกิจของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (3)***

เค้าโครงเศรษฐกิจของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (3)***

จากบทความเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจของ ท่านปรีดี พนมยงค์ ตอนที่ 2 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ในวันนี้ จึงขอลงบทความที่ต่อเนื่อง ในตอนที่ 3

ประเด็น การรับรองกรรมสิทธิของเอกชน ให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ซึ่งเอกชนหามาได้ และยอมรับกรรมสิทธิ์แห่งการคิดประดิษฐคิดค้นของบุคคลแนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการของลัทธิเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญกับกรรมสิทธิ์ของเอกชนเพื่อจะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าและมีการสะสมทุนได้

ประเด็น การจัดให้รายจ่ายและรายได้เข้าสู่ดุลยภาพ ทั้งดุลยภาพภายในและดุลยภาพระหว่างประเทศสะท้อน แนวคิดเรื่องการรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การรักษาวินัยการเงินการคลังซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงยึดถือแนวทางนี้ในการบริหารเศรษฐกิจกันอยู่

ประเด็น การที่รัฐบาลจะเป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจที่มีพลเมืองกว่า 11 ล้านคน เช่นประเทศไทย

จำเป็นต้องแบ่งการประกอบการเศรษฐกิจเป็นสหกรณ์ต่างๆ โดยสมาชิกรวมกันประกอบการเศรษฐกิจครบรูป คือ ร่วมกันประดิษฐ์ จำหน่าย ขนส่ง จัดหาของอุปโภคให้แก่สมาชิก และร่วมกันในการสร้างสถานที่อยู่ โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกที่ดินและทุน และสมาชิกสหกรณ์เป็นผู้ออกแรงเป็นการให้ความสำคัญกับ ระบบสหกรณ์ แต่ ระบบสหกรณ์ของไทยในวันนี้ก็ยังไม่เข้มแข็ง

ประเด็น รัฐบาลต้องถือหลักว่าจะต้องจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมทุกอย่างให้มีขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศ เพื่อป้องกันอันตรายจากการปิดประตูทางการค้า เพื่อให้ประเทศมีเอกราชในทางเศรษฐกิจสะท้อนแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากบริบทสภาพแวดล้อมในยุคนั้น ส่วนในยุคโลกาภิวัตน์

ประเด็น การจัดทำแผนเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้มีสภาทำหน้าที่วางแผนเศรษฐกิจแห่งชาติ เกี่ยวกับกสิกรรม อุตสาหกรรม ขนส่งและคมนาคม การจัดสร้างที่อยู่ให้ราษฎร” สิ่งนี้เป็นข้อเสนอที่ต่อมาก็ได้มีการจัดตั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ เกิดขึ้น ข้อเสนอนี้ เทียนวรรณ หรือ พระยาสุริยานุวัฒน์ ก็ได้มีการนำเสนอการทำแผนพัฒนาทำนองเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบเสรีนิยมมีบทบาทต่อการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกและประเทศไทยก็เดินบนเส้นทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาโดยตลอด เป็นกระแสหลักที่ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร รัฐบาลไทยยังคงยึดถือแนวทางนี้อยู่

ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ใครจะเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็มักถูกลากเอามาเป็นเงื่อนไขแห่งการต่อสู้ทางการเมือง โดยไม่ได้สนใจว่าข้อเสนอดังกล่าวมีเนื้อหาสาระ เป็นประโยชน์ต่อชาติและราษฎรอย่างไร

บทเรียนการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจของ ‘ท่านปรีดี’ เมื่อปี พ.ศ.2476 เป็นตัวอย่างที่สำคัญ ทุกครั้งที่มีการปฏิรูปหรือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ มักจะมีแรงต้านเสมอ ซึ่งผู้ริเริ่มเปลี่ยนแปลงต้องอดทนต่อแรงเสียดทาน ต้องมีความเสียสละอย่างสูงในทางส่วนตัวและครอบครัว 

‘ประวัติศาสตร์’ มักจะซ้ำรอยครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงควรศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้เพื่อเป็นบทเรียน ช่วงเวลาท่านปรีดีมีบทบาททางการเมืองอย่างโดดเด่นบนเส้นทางประชาธิปไตยไทย ด้วยบทบาทตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ มากมายตั้งแต่การอภิวัฒน์ 2475 จนถึง 8 พ.ย. 2490 นั้น เป็นช่วงเวลาไม่ยาวนานนัก เพียง 15 ปี แต่รัฐบุรุษท่านนี้ก็ได้บรรลุภารกิจหลายประการ เพื่อชาติ ราษฎร และระบอบประชาธิปไตย

นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จนถึงการรัฐประหาร พ.ศ.2490 และทำให้ ‘ท่านปรีดี’ กลายเป็น ‘รัฐบุรุษพลัดถิ่น’ ต้องระหกระเหินลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างแดนยาวนานกว่า 36 ปี ก่อนจะถึงแก่อนิจกรรม ณ. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ประชาธิปไตยไทยที่ถูกสถาปนาโดย ‘คณะราษฎร’ วันนี้อายุ 86 ปีแล้ว เส้นทางแห่งอนาคตของประชาธิปไตยไทยนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูงยิ่ง มีข้อเสนอเพื่อแสวงหาทางออกให้กับวิกฤติการณ์บ้านเมืองมากมาย บางข้อเสนอเหมือนดูหนังการเมืองย้อนยุค ก่อนการอภิวัฒน์ 2475 เสียอีก

ความประสงค์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นประชาธิปไตยของท่านปรีดีนั้น ต้องอาศัยการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และวางพื้นฐานหลายเรื่องให้เอื้ออำนวยต่อการปกครองแบบใหม่ หลังการอภิวัฒน์ 2475

คณะราษฎรได้พยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งมีอยู่เดิมก่อนการอภิวัฒน์ 2475 โดยเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจบางอย่าง เริ่มด้วยการลดภาษีที่ดินสำหรับปลูกข้าวลง 50% ยกเลิกการเก็บภาษีอากรบางประเภทในช่วงต้นเดือน ก.ค.2475 ทั้งประกาศจัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติให้สำเร็จโดยเร็ว ต่อมาในวันที่ 11 ก.ค.ได้มีประกาศพระราชบัญญัติยกเลิก ‘ภาษีสมพัตรสร’ นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน รัฐบาลยังปรับปรุงภาษีอากรธนาคารและการประกันภัย ออกประกาศลดพิกัดเก็บเงินค่านา และลดภาษีโรงเรือนที่ดิน

ส่วนแผนการในการปฏิรูปที่ดินในเค้าโครงการสมุดปกเหลือง ถูกคัดค้านโดยกลุ่มเจ้านายที่ถือครองที่ดินจำนวนมากและบรรดาผู้มีความคิดอนุรักษ์นิยมทางเศรษฐกิจ แผนการการปฏิรูปที่ดินจึงไม่ประสบผลสำเร็จ

นอกจากการลดภาษีจะเป็นมาตรการดูแลเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นมาตรการเพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ดี รัชกาลที่ 7 ก็ดี รัฐบาลได้จัดเก็บภาษีเพิ่มจำนวนมากเนื่องจากประเทศมีปัญหางบประมาณขาดดุลเรื้อรังต่อเนื่องมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6

รัฐบาลในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต้องเข้ามาแก้ปัญหาทางการคลังของประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชสำนักในสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศยังถูกซ้ำเติมโดยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก จนรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ ๗ ต้องลดเงินเดือนข้าราชการและดุลข้าราชการจำนวนหนึ่งออกจากงาน รัฐบาลคณะราษฎรจึงระมัดระวังเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ ทั้งยังปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเพื่อแก้ปัญหาสถานะทางการคลัง ขณะเดียวกันก็ลดแรงกดดันในหมู่ประชาชนต่อภาระภาษีที่มากขึ้น

*** ชื่อเต็ม:  

เค้าโครงเศรษฐกิจของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ 

สู่ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน​(3)