ทวนภาพการลงทุนส่งท้ายปี

ทวนภาพการลงทุนส่งท้ายปี

สำหรับประเด็นที่ยังคงอยู่ในกระแสความสนใจของผู้ลงทุน ณ ขณะนี้ คงหลีกไม่พ้นปัจจัยจากตลาดต่างประเทศ

โดยเฉพาะผลกระทบการลงทุนจากเรื่องการเจรจาทางการค้าของสหรัฐอเมริกา กับ จีน ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังหาข้อสรุปไม่ได้ ซึ่งผมคาดว่าจะยืดเยื้อไปถึงปี 2562 เป็นประเด็นต่อมา คือ เรื่องงบประมาณของประเทศอิตาลีที่ยังไม่ลงตัวจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งจะต้องยื่นใหม่ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน และการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่ง รัฐมนตรีฝ่ายกิจการการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป คาดว่าอังกฤษจะสามารถทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) ได้ภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งต้องติดตามว่าข้อสรุปจะเป็นอย่างไร แต่ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนในต่างประเทศมีการคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นตอบรับประเด็นดังกล่าวค่อนข้างแรงโดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาส 3 จนถึงตอนนี้

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาผมยังคงย้ำและให้ติดตามในเชิงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ทั้ง ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น อัตราการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น และจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในแถบประเทศเอเชียรวมถึงไทยให้ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไม่ให้ห่างกันมากเกินไปนัก แต่ประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยผมมองว่าจะเป็นการปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อย ซึ่งหากจะลงทุนในตราสารหนี้ ก็แนะนำตราสารหนี้ระยะสั้น ประมาณ 6 เดือน แต่ไม่เกินปี ซึ่งยังคงให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างเหมาะสม ในส่วนของสินทรัพย์ทางเลือก ช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่ง ผมถือโอกาสนี้แลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเริ่มจาก น้ำมัน ในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นคงจะมาจากปริมาณสำรองของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง และจากการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกาก็ทำให้การบริโภคน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น แต่ที่ทำให้ราคาปรับขึ้นได้เร็วน่าจะมาจากการที่สหรัฐอเมริกา ประกาศ คว่ำบาตรทางการค้ากับอิหร่าน แต่สุดท้าย ซาอุดิอาระเบีย ก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิต มาชดเชยได้ รวมทั้ง อิหร่านยังสามารถขายให้บางประเทศได้ ซึ่งผมมองว่า ระดับราคาที่เหมาะสมจะอยู่ในกรอบประมาณ 60 -75 เหรียญต่อบาร์เรล สูงต่ำกว่านี้ก็เป็นโอกาสในกาลงทุนระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ ทองคำ หากวิเคราะห์ในเชิงของการลงทุน ทิศทางของราคาทองคำไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินสหรัฐอเมริกา ทั้งหมด จะส่งผลลบกับทิศทางราคาทองคำ อย่างไรก็ดี ณ ระดับ 1,230-1,250 เหรียญ และความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกเพื่อป้องกันการเสียโอกาสจากการลงทุน อย่างไรก็ดี หากจะเข้าลงทุนอาจจะต้องรอให้ระดับราคาการลงทุนที่ต่ำกว่านี้ ประมาณ 50-80 เหรียญ

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย คอลัมน์นี้คงจะเลี่ยงไม่ได้ถ้าจะไม่กล่าวถึง ช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับตัวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาค อย่างไรก็ดี สำหรับปัจจัยบวกหนุนความน่าสนใจของประเทศไทยคงต้องให้น้ำหนักไปถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงจะทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น และจากข้อมูลทางสถิติ จะพบว่าก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หุ้นจะปรับตัวดีขึ้น ประการที่ 2 คือ เรื่องการลงทุน เริ่มจากรถไฟฟ้าซึ่งถ้าอนุมัติเพิ่มอีก 2 สาย ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เราก็จะมีรถไฟฟ้า 10 สาย High Speed Train เชื่อม 3 สนาม บิน คือ อู่ตะเภา สุวรรณภูมิ และดอนเมือง และ ส่วนต่อขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งหมดจะทำให้เรามีเม็ดเงินจากการลงทุนเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องไปอีก 3 -5 ปี ดังนั้น หากวิเคราะห์ในเชิงปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศยังมีความน่าสนใจ ซึ่งยังคงแนะนำให้ทยอยลงทุนในช่วงนี้