มั่นใจเต็มร้อย

มั่นใจเต็มร้อย

ต้องรู้เป้าหมายของสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพราะหากเราไม่รู้ว่างานที่ทำอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างไร ก็คงสร้างความสุขใจที่เกิดจากการทำงานไม่ได้

คนทำงานจำนวนไม่น้อยมักมีความรู้สึกคับข้องใจเพราะไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ยังคงรู้สึก “เติมไม่เต็มสักที” จะเปลี่ยนงานกี่ครั้งก็ยังรู้สึกติดขัด ไม่รู้สึกดีกับชีวิตแม้พยายามคิดให้เป็นบวกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีอะไรเป็นไป “อย่างที่ใจคิด” ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวเนื่องตามมามากมาย

ตรงกันข้ามกับคนที่มีความมั่นใจในตัวเองที่อาศัยพลังจากภายในสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองได้ เพราะความมั่นใจในตัวเองจะสร้างความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ และทำให้เขามีความมั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับการชักจูงจากผู้คนรอบข้างที่อาจทำให้เดินผิดทาง

ที่สำคัญยังเป็นคนเปิดรับทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต รวมทั้งใช้พลังทางบวกกระตุ้นให้คนรอบข้างก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งคนที่มีความมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ มักจะมีคุณสมบัติในตัวเองบางอย่างเหมือน ๆ กันซึ่งผมรวบรวมไว้ได้ 12 ข้อดังนี้

ข้อที่ 1 ต้องรู้เป้าหมายของสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพราะหากเราไม่รู้ว่างานที่ทำอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างไร ก็คงสร้างความสุขใจที่เกิดจากการทำงานไม่ได้ ในขณะที่หลาย ๆ คนแม้จะโดนคนรอบข้างเยาะเย้ยถากถางหรือดูถูกงานที่เขาทำ แต่เขากลับมีความสุขอยู่ได้เพราะเขารู้ดีว่างานนั้นมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงใด การทำงานโดยตระหนักรู้ถึงเป้าหมายจึงทำให้เรามองเห็นความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า เราจึงมุ่งมั่นทำงาน โดยไม่หวังคำชื่นชมหรือคำสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้าง เราจึงไม่หวั่นไหวไปกับคำวิจารณ์ของคนอื่น แต่ทำงานต่อไปได้อย่างมีความสุขจากภายในตัวเราเอง

ข้อที่ 2 ไม่เสียเวลาไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นฐานะความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน สถานะทางสังคม ฯลฯ เพราะการเปรียบเทียบมักจะจบลงที่ความรู้สึกเชิงลบ เช่นทำไมจึงสู้คนอื่นไม่ได้ ทำไมไม่เลือกงานอื่น ที่อาจได้ค่าตอบแทนสูงกว่า ฯลฯ

ตรงกันข้ามกับคนที่มีพลังความมั่นใจจากภายใน มักไม่ชอบการเปรียบเทียบแข่งขันกับคนอื่น แต่มักแข่งกับตัวเองด้วยการพินิจพิเคราะห์อยู่เสมอว่าวันนี้ทำได้ดีกว่าเมื่อวานแค่ไหน ผลงานปีนี้หากเทียบกับปีที่แล้วมีพัฒนาการอย่างไร ทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเกิดขึ้นตลอดเวลา

ข้อที่ 3 ต้องมั่นใจเกินร้อยก่อนที่จะรับปากใคร เพราะคนที่ไม่มีความสุขกับงานส่วนหนึ่งมักเกิดจาก การรับปากคนอื่นอย่างง่าย ๆ โดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา เช่นรับปากคนอื่นว่าจะทำ 100 แต่ตัวเองทำได้เพียง 10 ส่วนที่ยังขาดอีก 90 ก็จะกลายเป็นแรงกดดันและความเครียดที่เกิดขึ้นจนไม่มีความสุขจากการทำงาน ตรงกันข้ามกับคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ที่หากรับปากใครที่ขอให้ทำ 100 เขาอาจทำได้ 110 จึงกล้ารับปากด้วยความมั่นใจและเต็มใจ เพราะรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ซึ่งเมื่อทำได้ตามที่รับปากแล้วเขาก็ยิ่งได้ความไว้ใจจากผู้คนรอบข้าง เป็นกำลังใจให้เขาทำงานอื่นได้อย่างต่อเนื่อง

ตรงกันข้ามกับคนที่รับปากโดยไม่คิดให้รอบคอบซึ่งมักจะเจอความล้มเหลวอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่สามารถ ทำได้ตามที่รับปากไว้ ผลที่เกิดคือความเดือดร้อนวุ่นวายเพราะต้องพยายามทำทุกอย่างเกินตัว และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ตามที่รับปากไว้ไม่ได้ก็ยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเรื่อย ๆ

ข้อที่ 4 ต้องรู้จักรับฟังผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะยิ่งรับฟังมากขึ้นก็ยิ่งทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ที่มีสาระและเป็นประโยชน์กับการทำงานในอนาคตมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น อย่าไปเสียเวลาไปกับการนำเสนอตัวเองให้ผู้คนรอบข้าง เพราะการพร่ำบอกคนอื่นว่าตัวเราเก่งเพียงใดนั้น กลีบไม่ทำให้เราเก่งขึ้นเลย แต่การเรียนรู้จากคนเก่งที่อยู่รอบข้างเราต่างหาก จะยิ่งทำให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งฟังมากก็ได้เรียนรู้มาก ยิ่งฟังละเอียดก็ยิ่งได้พื้นฐานที่ดีให้เรานำไปต่อยอดพัฒนาตัวเองได้อีกกลายเป็นความก้าวหน้าในชีวิต

ส่วนในข้อที่เหลืออีก 8 ข้อนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ