โรคความดัน 4 ประเภทของผู้บริหาร

โรคความดัน 4 ประเภทของผู้บริหาร

“โรค”...เป็นของคู่กันกับผู้บริหารที่อยู่กับ“โลกแห่งการแข่งขัน” และ“โลกในการบริหารคน!”

“โรคทางกาย”ของบรรดาผู้จัดการไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงของทุกที่ ส่วนมากเกิดจาก“ความเครียดแบบปัจจุบันทันด่วน” จนก่อให้เกิดความเครียดสะสม โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก ความคิดและจิตใจ ที่ต้องเจอแรงกดดันทุกๆวัน จนส่งผลกระทบทำให้เกิดโรคทางกายหลายๆโรคตามมา..

เช่น เครียดลงกระเพาะ หรือ กรดไหลย้อน หรือความดัน บางคนก็หนักไปจนถึงโรคหัวใจ!

สาเหตุส่วนหนึ่ง อาจเกิดมาจาก โรคดันทุรัง จนก่อให้เกิดเป็นโรคความดันจริงๆ แล้วก็เกิดโรคอื่นๆ ตามมา ถ้าบรรดาผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูง พอจะเข้าใจเรื่องนี้ จะสามารถค่อยๆลด “โรคความดัน” ที่เกิดจากตนเองได้ไม่มากก็น้อย!

ลองมาตรวจสอบโรคความดันของแต่ละท่านดู (โดยไม่ได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ แต่เป็นความเข้าใจในโลกของธุรกิจที่ส่งผลกับชีวิตและโรคต่างๆมากมาย) ดังนี้ดูนะครับ...

1.โรคดันทุรัง.. ที่ไม่ยอมรับ/ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง!

โรคนี้จะเกิดกับผู้บริหารที่ ยึดติดกับความเคยชินเดิมๆ ความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา โดยไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่า โลกมันเปลี่ยนและเปลี่ยนแบบ“เร็วและแรง” ที่ทุกธุรกิจ ถูก Disruption ไม่มากก็น้อยจากเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน

เมื่อไม่ยอมทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็ดึงดันและดันทุรังยังคิด ยังทำธุรกิจด้วยแนวคิดแบบเดิมๆ คิดว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนเดิม แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ได้ผล เพราะไม่ทำความเข้าใจในยุคปัจจุบัน จากโรคความดันทุรังดื้อดึง ก็กลายเป็นโรคความดันสูงขึ้นมาจริงๆ!

ทางแก้.. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้น มองให้เป็นโอกาส แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับธุรกิจของท่าน

ส่วนจะเลือกอะไรยังไงคงไม่สามารถบอกเป็นสูตรสำเร็จได้ แต่สิ่งที่บอกได้อย่างมั่นใจคือ ถ้าคิดและทำธุรกิจแบบเดิมๆโดยไม่ปรับตัว... รอดยากครับ!

2.โรคดันทุรัง.. ทำตามกระแสโดยขาดความเข้าใจ!

โรคที่2นี้ ตรงกันข้ามกับข้อแรก! (ข้อแรกไม่ยอมรับ ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง) แต่ข้อนี้เป็นโรคเห่อตามกระแส ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ โดยปราศจากความรู้ ความเข้าใจ

เช่น บอกว่าการตลาดยุคนี้ ต้องเน้นไปที่การใช้กลยุทธ์และเครื่องมือที่ app เป็นหลัก facebook / youtube / ig / line / google ต่างๆ ก็โหมงบ ทุ่มลงไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญในยุคนี้บอก!

หลายที่ หมดเงินสร้างเพจ ซื้อโฆษณา ไปกับ facebook ซะเยอะ แต่ได้ยอด Like เพียงน้อยนิด ได้ยอดขายแบบน้อยจนน่าใจหาย ทำไมไม่ Work เหมือนที่อื่นเขาทำกัน!?

ถ้าเป็น 2-3 ปีที่ผ่านมา หลายๆวิธีการที่ใช้กับ facebook อาจสร้างยอดขาย สร้างลูกค้าจนรับไม่ทัน

แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เพราะใครๆก็ลงมาใช้วิธีนี้ กับที่นี่แต่ผลที่เกิดคือ หมดเงินไปเยอะแต่ไม่ได้ผล!

ทางแก้.. เรียนรู้/ทำความเข้าใจ/และ Test เป็นระยะ เพราะไม่มีสูตรสำเร็จในยุคนี้ว่าใช้วิธีนี้ กับ app นี้แล้วจะWork ต้องทำไป วิเคราะห์และปรับแก้เป็นรายวัน!

ใน 2 โรคแรก.. เป็นโรคดันทุรังในการทำธุรกิจ..

ส่วนโรคถัดไป เป็นโรคดันทุรัง ในการบริหารคน..

3.โรคดันทุรัง.. หวังว่าทีมงานจะเก่งได้โดยไม่ต้องสอน!

ผู้จัดการและผู้บริหารที่เป็นเจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อย ต่างก็“คิดไปเอง”ว่า ทีมงานจะเก่งได้โดยการส่งไปเข้าอบรมพอเป็นพิธีซักครั้งสองครั้ง! และก็ไม่เคยมีเวลาที่จะสอน บ่มเพาะหล่อหลอมและ Coaching ทีมงาน ผลที่เกิดขึ้นคือ ทีมงานส่วนมากสร้างปัญหา สร้างภาระ มีเพียงน้อยนิดที่สร้างผลงานแค่พอใช้!

จากการดันทุรังคิดแบบนี้ของบรรดาผู้จัดการและเจ้าของกิจการ เมื่อเจอผลแบบนี้ ความดันก็ขึ้น อารมณ์ก็เสียหงุดหงิดของขึ้นสิครับ!

ทางแก้.. ไม่มีทางลัดในการสร้างคน นอกจาก อดทนบ่มเพาะหล่อหลอมและ Coaching ทีมงานอย่างต่อเนื่อง แล้วจะเก็บเกี่ยวผลได้ในระยะกลางและระยะยาว เพราะทีมที่ผ่านการบ่มเพาะ จากการ Coaching จะคัดกรองเหลือทีมงานที่มีคุณภาพ ไม่ใช่มีแต่ปริมาณแต่ขาดคุณภาพอย่างที่เป็นกันหลายๆที่ในปัจจุบัน!

4.โรคดันทุรัง.. จ่ายน้อยแต่ต้องการผลตอบแทนเยอะ!

เรื่องนี้ไม่ต้องพูดเยอะ เจ็บคอ! ไม่ต้องพิมพ์เยอะ เมื่อยมือ!

ยุคนี้ ลูกจ้าง/ลูกน้อง/ทีมงาน (แล้วแต่ท่านจะเรียก) ไม่ใช่ในอดีตเมื่อ 40-50 ปีก่อนที่เป็นลูกจ้างร้านโชวห่วยหรือธุรกิจเล็กๆที่จะจ้างคนโดยจ่ายน้อยๆแล้วใช้งานซะเต็มที่เยี่ยงทาสเหมือนในอดีตนะครับ!

ไม่ว่าจะเป็น sme รายเล็กหรือธุรกิจขนาดกลาง ไม่มีทางที่ท่านจะจ่ายน้อยๆแล้วได้คนที่มีคุณภาพสูงๆ!

ทางแก้คือ..ตรงไปตรงมาคือต้องยอมจ่ายในราคาตลาด แล้วต้องยอมใช้เวลาสร้างและบ่มเพาะ (ย้อนกลับไปอ่านข้อ 3 โรคดันทุรัง.. หวังว่าทีมงานจะเก่งได้โดยไม่ต้องสอน!)

หรืออีกวิธี ใช้ทีมงานเท่าที่จำเป็น ที่เหลือใช้เทคโนโลยี่ หรือ Outsource งานออกไปให้มากที่สุด แต่ไม่มีทางที่ท่านจะจ่ายอะไรน้อยๆ ที่เป็นการเอาเปรียบทีมงานแล้วหวังว่าทีมงานจะทุ่มเทและมีคุณภาพ!

หวังว่า โรคความดันทั้ง 4 ประเภทนี้ จะไม่เกิดกับท่านนะครับ.. แต่ถ้าเกิดโรคใดโรคหนึ่ง.. ก็เปลี่ยนวิธีคิดแล้วดูทางแก้ในแต่ละข้อ เพื่อให้ท่าน ปลอดจากโรคและอยู่รอดในโลกยุคปัจจุบันได้ครับ!