ปรับพอร์ตรับมือ Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อไม่รอแล้ว!!

ปรับพอร์ตรับมือ Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อไม่รอแล้ว!!

นับตั้งแต่ Fed หรือธนาคารกลางของสหรัฐฯ หยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ QE เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัว

หลังจากที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ เมื่อปี 2007 ได้ทำให้ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วทั้งหมด 8 ครั้งจากระดับ 0.25% สู่ปัจจุบันที่ 2.25% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ได้สร้างความกดดันกับตลาดหุ้นพอสมควร ทำให้การลงทุนในปีนี้นักลงทุนอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเท่าใดนัก แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ก็มีเหตุผลที่จำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น

ถ้าไปดูเป้าหมายของ Fed ในช่วงที่ผ่านมาก็คงหนีไม่พ้นการทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยดูตัวเลข GDP อัตราการว่างงาน รวมถึงดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core CPE) ที่ต้องการให้ขยายตัวได้ 2% ตัวเลขที่ออกมาในปีนี้ต้องบอกว่าเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวได้อย่างร้อนแรงจริงๆ ทั้งตัวเลข GDP ที่ Fed คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 3.1% อัตราการว่างงานล่าสุดลงมาอยู่ที่ 3.7% เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี  และCore CPE ก็ขยายตัวระดับ 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตัวเลขที่ออกมาเป็นผล Fed จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนที่เศรษฐกิจจะร้อนแรงเกินไป

การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นี้ไม่เพียงแต่กดดันตลาดหุ้น แต่ตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับลง มีอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีขึ้นไปอยู่ที่  3.23% สูงสุดในรอบ 7 ปี และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ 2 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 2.90% สูงสุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว

แม้กระทั่ง ปธน.โดนัล ทรัมป์ ก็ได้ออกมาบอกว่าไม่ค่อยจะ Happy กับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เท่าไหร่ เนื่องจากทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แต่ล่าสุดมีการเปิดเผยรายงานการประชุมของ Fed ที่ประชุมไปเมื่อวันที่ 25-26 ก.ย. 2018 ที่ผ่านมา Fed ก็ยังยืนยันที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งก็คาดว่า Fed น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้  อีก 3 ครั้งในปีหน้า และ 1 ครั้งในปี 2020 โดยคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยอีก 5 ครั้ง จะทำให้อัตราดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 3.40%

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ก็ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น จากการออกขายพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จากการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น และการลด Balance sheet ของ Fed ทำให้เม็ดเงินที่เข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯก็ลดลงไปด้วย เมื่อ Supply เพิ่มขึ้นแต่ Demand การเข้าซื้อลดลง ย่อมส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวขึ้น

 ฉะนั้น การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ต่อเนื่องจะกดดันตลาดหุ้น การลงทุนในช่วงนี้จึงขอแนะนำให้ปรับพอร์ตจากกองทุนที่ลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) มาเป็นกองทุนหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) เนื่องจากหุ้นกลุ่ม Defensive จัดเป็นกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน และมีความสัมพันธ์กับวัฏจักรของเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค(Consumer Staples) เป็นต้น

โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงฟองสบู่ดอทคอมปี 2000 และวิกฤตซับไพร์มในช่วงปี 2008 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง แต่กลุ่มหุ้น Defensive เหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงนั้น

 หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] ครับ