แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3

จนมาสู่ระดับต่ำกว่า1680 จุดในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือน โดยมีสาเหตุมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 3.20% ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนในหุ้น (Earnings Yield Gap) แคบลง เงินทุนจึงออกจากตลาดหุ้นและไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตร ค่าเงินดอลลาห์สหรัฐแข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง SET Index จึงปรับตัวลดลงตามตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนในต่างประเทศ ทว่าท้ายสุดแล้วการปรับตัวของ SET Index ยังคงขึ้นกับผลประกอบการของบริษัทเป็นหลัก ซึ่งกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ในไตรมาส 3 ที่กำลังจะประกาศนี้ คาดว่ากำไรสุทธิรวมของตลาดจะยังเติบโตได้ 8-10% จากปี 2017 ซึ่งกลุ่มที่น่าจะเติบโตได้ดียังเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ส่วนกลุ่มที่ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก ยังคงเป็นกลุ่มพาณิชย์และกลุ่มท่องเที่ยว

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงที่ผ่านมา จากความกังวลผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีต่ออิหร่านที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2018 และการลดปริมาณการผลิตของประเทศเวเนซูเอล่า ในขณะที่กลุ่มโอเปคยังคงระดับการผลิต ทำให้เกิดแรงกดดันด้านอุปทาน ในขณะที่ฝั่งอุปสงค์ยังคงแข็งแกร่งตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันจึงปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน่าจะออกมาดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วจากกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มรับเหมาก่อสร้างนั้น คาดมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้น แม้ว่าการเปิดประมูลโครงการใหม่ๆ ขนาดใหญ่ของภาครัฐจะมีความล่าช้า และอาจไม่ทันในปีนี้ แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรของบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากปัจจุบันบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ล้วนมีงานในมือเพียงพอรองรับรายได้ในระยะ 2-4 ปีข้างหน้า สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังการเปิดขายกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ในช่วงไตรมาสที่ 4 โครงการทางด่วนดาวคะนอง - พระราม 3 มูลค่าประมาณ 31 พันล้านบาทน่าจะเปิดให้เอกชนประมูล ซึ่งผู้รับเหมารายใหญ่ต่างก็พร้อมที่จะประมูล ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้น่าจะยังทำผลงานได้ดีต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ในส่วนของกลุ่มพาณิชย์ ที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ออกมาแย่กว่าคาด ในไตรมาส 3 นั้นแนวโน้มจะยังไม่ดีมากนัก ทั้งจากปัจจัยทางฤดูกาล และช่วงหน้าฝนที่ค่อนข้างยาวในปีนี้ แต่หากมองยาวไปถึงไตรมาส 4 ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้น่าจะเติบโตโดดเด่น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตดีต่อเนื่อง ล่าสุดในรายงานเดือนตุลาคม IMF ได้ปรับการคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีของไทยในปี 2018 ขึ้นจาก 3.9% เป็น 4.6% นอกจากนี้ การเลือกตั้งที่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นสูงในช่วงต้นปีหน้าน่าจะช่วยทำให้ภาคการบริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นได้ แต่ทว่า บริษัทในกลุ่มพาณิชย์บางรายอาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะเริ่มต้น ทำให้ตัวเลขผลประกอบการอาจยังดูไม่ดีนัก

สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวนั้น ในไตรมาส 3 นี้น่าจะมีผลประกอบการออกมาไม่ดีเท่าไรนัก เนื่องด้วยเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนหายไปบางส่วน ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นจำนวนถึง 29% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจากข้อมูลสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายเดือน พบว่าในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมนั้น  จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยเติบโตเพียง 3% เทียบกับที่เคยเติบโตถึง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในครึ่งปีแรก และหากพิจารณาเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน พบว่าหดตัวลง -1% ในเดือนกรกฎาคม และ -12% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะทยอยกลับเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ที่จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม ที่มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวทั้งในกลุ่มลูกค้า ทำเลที่ตั้ง และระดับราคา ส่วนกลุ่มสายการบินนั้น ยังคงมีปัจจัยกดดันหลายประการ ทั้งการแข่งขันที่ยังคงรุนแรง และราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้

ทิศทางของ SET Index ในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ แต่โดยภาพรวมในช่วงที่เหลือของปียังดูดี นอกจากผลประกอบการในไตรมาส 3 เป็นตัวหนุนตลาดแล้ว การเลือกตั้งที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้าน่าจะยังทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นต่อไปได้ การปรับตัวลงของตลาดในรอบนี้ ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นสำหรับลงทุนในระยะปานกลางถึงยาวได้ครับ