ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียง 'อีลอน มัสก์'

ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียง 'อีลอน มัสก์'

เมื่อเป็นไอดอลของคนทั่วโลก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่บรรดาแฟนคลับจะจับตามองความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว

เข้าใจว่าหนึ่งในข่าวฉาวที่ชาวโลกให้ความสนในติดตามอยู่เมื่อเร็วๆนี้ก็คือเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา หรือ SEC ยื่นฟ้องต่อศาลว่าอีลอน มัสก์ CEO และผู้ก่อตั้งบริษัทเทสลามีความผิดฐานฉ้อโกงจากกรณีที่มัสต์ทวีตข้อความว่าจะนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

โดยมัสก์ระบุด้วยว่าตนจะซื้อหุ้นของเทสลาคืนในราคาหุ้นละ 420 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาบนฐาน Standard premium ซึ่งควรอยู่ที่ 419 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นจึงเป็นการให้ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดต่อนักลงทุน ทั้งนี้ศาลมีความเห็นว่ามัสค์จะต้องพ้นสภาพในการเป็นประธานบริหารของเทสลาภายใน 45 วัน แต่ยังสามารถดำรงตำแหน่ง CEO ใหญ่ของเทสลาอยู่ พร้อมกันนั้นยังห้ามมิให้มัสค์ลงสมัครชิงตำแหน่งคืนภายใน 3 ปี และถูกปรับเป็นเงินมูลค่ากว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯอีกด้วย ทั้งนี้มัสก์เองไม่ได้ตั้งใจจะระบุราคาหุ้นให้อยู่ที่ 420 เหรียญสหรัฐฯอย่างจริงจังสักเท่าไร แต่เพราะเลข 420 (โฟร์ ทเวนตี้) คือรหัสลับของกลุ่มพวกสูบกัญชา และมัสค์คิดว่าการใช้เลขสามตัวนี้ก็เพื่อสร้างความขบขันให้เพื่อนหญิงของเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตามตัวของมัสก์เองก็เคยแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าตัวเขาก็สูบกัญชาเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้สูบเป็นประจำ ทั้งนี้ หลังจากถูกศาลตัดสินเรื่องหุ้นเทสลาไปไม่นาน ในการให้สัมภาษณ์ในรายการของโจ โรแกน  เขาสูบบุหรี่ผสมกัญชาและนั่งจิบวิสกี้อย่างเปิดเผยในรายการ  ภาพของมัสก์ที่สูบบุหรี่ผสมกัญชาและดื่มวิสกี้ได้รับการเผยแพร่ผ่านยูทูปอย่างกว้างขวาง  แม้ว่าการสูบกัญชาจะไม่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายสำหรับรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่หลังจากการออกอากาศ ราคาหุ้นของเทสลาในสหรัฐฯตกลง 1.4%  ภาพลักษณ์ที่เคยดีของมัสก์ก็ติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ คนวงในใกล้ชิดบอกว่านอกจากเรื่องของคดีหุ้นแล้ว มัสก์ยังมีเรื่องอื่นให้กลุ้มอีกเพราะตัวเขาเองร่วมกับผู้บริหารคนอื่นของเทสลากำลังถูกฟ้องจากข้อกล่าวหาว่าควบคุมจัดการตลาดอย่างไม่ชอบธรรม

สำหรับคนไทยในบ้านเรา  ก่อนหน้าข่าวฉาวเรื่องหุ้น  เรื่องของมัสก์ที่เดินทางมาประเทศไทยด้วยตนเองและการเตรียมส่งเรือดำน้ำขนาดเล็กเท่าตัวเด็กเข้าถ้ำหลวงเพื่อช่วยเหลือทีมหมูป่าให้ออกจากถ้ำได้กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการกล่าวขานในทางนิยมชมชื่นในตอนแรก แต่เมื่อนักดำน้ำผู้ชำนาญอย่างนายอันส์เวิร์ธให้ความเห็นกับนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่าเรือดำน้ำขนาดเล็กนั้นไม่มีความยืดหยุ่น ในขณะที่ลักษณะของถ้ำมีความคดเคี้ยว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่เครื่องมือของมัสค์จะใช้ประโยชน์อะไรได้ นอกจากนั้นอันส์เวิร์ธยังวิจารณ์การกระทำของมัสก์ว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสร้างความสนใจให้กับตนเอง ซึ่งมัสก์ก็ได้ตอบโต้ด้วยการทวีตข้อความโจมตีนายอันส์เวิร์ธ แต่ได้หลุดปาก (หรืออาจจะตั้งใจ?) ไปเรียกนายอันส์เวิร์ธว่าเป็นพวก “ใคร่เด็ก” 

ทำให้มีผู้ใช้ทวีตเตอร์จำนวนมากออกมาวิจารณ์ว่าทวีตดังกล่าวไม่เหมาะสม และมัสก์ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ด้วยการตอบโต้บรรดานักทวีตเตอร์เหล่านั้นอีกว่า "พนันด้วยแบงก์ 1 ดอลลาร์และเซ็นชื่อให้ได้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริง แน่นอนมันสร้างความไม่พอใจให้กับนักทวีตเตอร์จำนวนมาก และลงเอยด้วยการที่เขาถูกอันส์เวิร์ธฟ้องร้องที่ไปดูถูกเพิ่มอีกกระทง

อาจกล่าวได้ว่าคนเราพอเริ่มขาลง ก็มักมีเรื่องต่างๆมารุมกระหน่ำให้ดำดิ่งลงไปอีก ส่วนเรื่องสุขภาพของมัสก์ก็เป็นที่กังวลของคนใกล้ชิด การทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาได้ขยายตัวมากขึ้น ยิ่งเครียด ก็ยิ่งคิดพลาด พูดพลาด ทำพลาด ยิ่งพลาดก็ยิ่งเครียด วนเป็นวงจรเช่นนี้

พฤติกรรมในช่วงที่ผ่านมาของมัสก์ส่อให้เห็นว่าเริ่มมีมีปัญหาด้านจริยธรรมในการทำธุรกิจและขาดมารยาทที่ดีในการสื่อสารผ่านทางโซเชียล มีเดียซึ่งน่าจะเกิดจากการขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) กรณีนี้ก็เหมือนกับคนดังหลายๆคนที่เคยเป็นฮีโร่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุด แล้วตัวเองก็สะดุดขาตัวเองหกล้ม ยกตัวอย่าง เช่น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ที่เป็นดาราดังสุดขีดสมัยวัยรุ่น แล้วก็ติดยา ติดคุก เสื่อมเสียชื่อเสียง ยังดีที่พลิกตัวกลับมาดังในบทไอรอน แมนได้อีกในช่วงวัยกลางคนแล้ว แต่เขาก็ต้องมาปวดศีรษะเพราะลูกชายเริ่มติดยาบ้าง

อีกคนก็คือ ไทเกอร์ วู้ดส์ ที่ตอนหนุ่มน้อยเคยเป็นไอดอลของนักกอล์ฟทั่วโลก ไปไหนมีแต่คนรุมล้อม และแล้วชีวิตก็เข้าขาลงเมื่อมีเรื่องระหองระแหงกับภรรยาสาวสวย ที่นำไปสู่การหย่าร้าง สุขภาพมีปัญหา จิตใจเศร้าหมอง ผลงานตกต่ำจนต้องหยุดพักรักษาตัวรักษาจิตอยู่เป็นปี  ตอนนี้สุขภาพจิตเริ่มดีขึ้น ร่างกายดีขึ้น สามารถหวนคืนสนามเพื่อทวงคืนตำแหน่งแชมป์ได้แล้ว นอกจากสองคนดังที่กล่าวมานี้ ก็ยังมีอีกหลายรายที่เรารู้จักกันทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างประเทศ และคงจะมีให้เห็นอีกเรื่อยๆถ้าคนที่ประสบความสำเร็จมากๆตั้งแต่อายุยังน้อยขาดการพัฒนาฝึกอบรมวุฒิภาวะทางอารมณ์ให้เติบโตทันกับความสำเร็จที่หลั่งไหลเข้าสู่ชีวิตจนตั้งตัวไม่ติด

เมื่อเป็นไอดอลของคนทั่วโลก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่บรรดาแฟนคลับจะจับตามองความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว จากที่เคยเป็นคนธรรมดาๆไม่มีใครสนใจ อยากได้ของแพงๆก็ไม่มีสตางค์พอจะซื้อ จู่ๆภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีก็ประสบความสำเร็จมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน มีคนคลั่งไคล้บูชาไหลหลงทั่วบ้านทั่วเมือง  ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดามากที่คนเราจะต้องปลื้มในตัวเอง คิดว่าตัวเองนี้เลิศเลอเสียจริงๆ และเมื่อปลื้มตัวเองจนถึงจุดสูงสุดที่จะนำไปสู่ความเสื่อมก็คือ การหลงตัวเองว่าวิเศษกว่าผู้อื่น อยากได้อะไรต้องได้ มองไม่เห็นหัวคนอื่น พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงล้วนไม่มีความหมาย เพราะฉันหาเงินได้มากที่สุด คนอื่นๆล้วนต้องพึ่งพาฉันทั้งนั้น นอกจากอาการหลงตัวเองซึ่งเป็นโรคที่สังคมรังเกียจแล้ว ปัญหาต่อไปของคนดังก็คือไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นบุคคลของสาธารณะ จะไอ จะจาม จะหาว จะเรอล้วนมีสายตาหลายพันคู่จับตามองพร้อมกล้องมือถือที่จะบันทึกภาพและเสียงถ่ายทอดทั้งเรื่องดีๆและเรื่องแย่ๆของไอดอลให้เผยแพร่ไปทั่วโลกได้ในเพียงไม่กี่วินาที

สมัยนี้จะรุ่งหรือจะดับก็อยู่ที่โซเชียลมีเดียนี่เอง  ความเครียดที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ทำให้ไอดอลเกิดโรคเครียดจนหลายคนฆ่าตัวตายไปก็มี

จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวไอดอลเองและพ่อแม่ผู้ปกครองของไอดอลจะต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตของการเป็นไอดอลว่า ไอดอลก็คือมนุษย์ปุถุชนที่แม้จะมีความสามารถโดดเด่นในเรื่องบางเรื่อง หรือหลายเรื่อง แต่ก็มีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ทำผิดพลาดได้ จึงไม่ต้องพยายามฝืนทำในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นจริงๆจนมากเกินไป อย่าพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่มันเลอเลิศเกินเหตุ ต้องเรียนรู้ที่จะบริหารความเครียด รู้จักแยกชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานให้เป็น

ตัวอย่างที่ดีมากๆในการเลี้ยงดูเด็กเก่ง เด็กที่เป็นไอดอลของสาธารณชนที่ดิฉันนึกได้ก็คือสมเด็จย่านั่นเอง พระองค์ท่านทรงเลี้ยงพระธิดาและพระโอรสอย่างมีพระปรีชามาก สมเด็จย่าทรงตระหนักดีว่าพระโอรสของท่านคือพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย แต่เมื่อทรงพำนักอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ พระโอรสและพระธิดาได้รับการดูแลเหมือนเด็กธรรมดาๆ ทรงเรียนรู้ที่ต้องช่วยงานบ้าน ทรงทำสวน ด้วยพระองค์เอง ซึ่งมีผลทำให้ต่อมาทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ติดดินมาก ไม่เคยมีปัญหาช่องว่างระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทยเลย ทั้งนี้เพราะสมเด็จย่ามีจิตวิทยาที่ดีในการอบรมสั่งสอนพระธิดาและพระโอรสอย่างเหมาะสม  ทำให้ทุกพระองค์สามารถปรับพระองค์ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและฐานันดรที่ต่างไปได้ดี

หันกลับมามองอีลอน มัสก์อีกที ถ้าเราได้ศึกษาถึงชีวิตในวัยเยาว์ของมัสค์ เราจะทราบว่าเขามีปัญหาที่โรงเรียน เช่นโดนเพื่อนแกล้งจนตกบันได ถูกทุบตีบ่อยๆ แสดงว่าเป็นเด็กมีปัญหา เพื่อนๆไม่ยอมรับ ขาดความมั่นคงทางจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก แม้โตขึ้น แข็งแรงขึ้น เก่งในการทำมาหากิน แต่ลึกๆข้างในจิตอารมณ์ยังไม่แข็งแรง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ จริยธรรมก็ไม่ได้รับการบ่มเพาะมามากพอ จึงได้มีการแสดงออกในเรื่องต่างๆในทางลบดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ทั้งนี้ผู้ที่เคยเป็นแฟนคลับของมัสก์ก็อย่าได้ผิดหวังโกรธเกลียดเขาเลยนะคะ ขอให้เห็นใจว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ผิดพลาดได้ เรื่องไหนที่เป็นเรื่องที่ดีของเขา ก็เก็บมาเป็นบทเรียนทำตามเขาได้ เช่น เรื่องของการทำงานอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ไม่กลัวความลำบาก มีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องลบก็เก็บเอาไว้สอนใจตัวเองว่า ถ้าวันใดเราเกิดประสบความสำเร็จอย่างเขา เราอย่าลืมตัว อย่าก้าวร้าวหยาบคายอย่างเขาก็แล้วกัน คนทุกคนมีทั้งทั้งด้านสว่างและด้านมืด สุดแต่ว่าเวลานั้นท่านได้เห็นด้านใดของเขา

และที่ไม่ควรลืมก็คือ ผิดพลาดไปแล้วก็แก้ไขได้ ล้มไปแล้วก็ลุกขึ้นเดินใหม่ได้ วันหน้าเราอาจได้เห็นอีลอน มัสก์ก้าวข้ามปัญหาต่างๆนี้ไปได้ด้วยดี และกลับมาเป็นไอดอลของท่านได้อีกครั้งก็ได้ ใครจะรู้