การเลือกตั้งประธานาธิบดีของบราซิล

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของบราซิล

ดุลพลังอำนาของประเทศในทวีปอเมริกาใต้อาจกำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ขณะที่ประเทศที่ผินหน้าออกมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น โคลอมเบียและชิลีกำลังดีขึ้น

ทางเศรษฐกิจสมค่าของการก่อตั้งกลุ่ม Pacific Alliance ขณะที่ปะเทศยักษ์ใหญ่อย่างอาร์เจนติน่าและบราซิลกำลังซวดเซอย่างหนัก ประเทศฟ้าขาวนั้นถึงกับต้องเข้า IMF ส่วนบราซิลนั้นความหวังในเวลานี้ก็คือม้าขาวที่จะมากอบกู้ความยากจนตกต่ำ อาชญากรรมและความหิวโหย ทุกอย่างรวมศูนย์ไว้ที่ประธานาธิบดี และอีกไม่กี่อึดใจก็จะทราบผล

การเลือกตั้งทั่วไปของบราซิลเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเลือกตั้งหลากหลายทั้งผู้ว่าการรัฐ และผู้แทนในสภาหลายระดับ แต่ที่คนสนใจมากที่สุดคือมีการชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะอำนาจการตัดสินใจที่สำคัญแทบทุกอย่างของประเทศนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณอยู่ในกำมือของประธานาธิบดีที่ยังมาไม่ถึง ส่วนประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็สำนึกตัวว่าก็แค่รักษาการณ์ไม่หน้าด้านทิ้งทวนเป็นพันล้านหมื่นล้านเหมือนบางประเทศ ประชาชนเลยรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าใครจะมากำหนดความกินดีอยู่ดีของพวกเขา ข้าราชการทุกหน่วยงานก็รอดูนโยบาย นักการเมืองก็รอเข้าร่วมรัฐบาล ถ้าพวกไหนได้เป็นรัฐบาลก็อู้ฟู่ น่าจะได้รับเงินจัดสรรจากรัฐบาลกลางกันอิ่ม แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องหางบจากระดับรัฐแทน

แต่ด้วยความเบื่อหน่ายการเมือง เพราะพึ่งมีการกวาดล้างนักการเมืองคอรัปชั่นเมื่อมีนานมานี้ ติดคุกและรอติดคุกอยู่เป็นร้อยคน แม้แต่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง Michel Temer ก็ถูกมองว่าอยู่ในวังวนเพราะพวกกันกับอดีตประธานาธิบดีหญิง Dilmar Rousseff ที่โดนปลดไปเมื่อปี 2559 ทำให้ตามโพลล์ตั้งแต่ต้นปี ผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากไม่อยากไปเลือกตั้งแล้ว (แต่ต้องไป เพราะกฎหมายบังคับ ไม่งั้นจะเสียทั้งสิทธิ์ เสียทั้งเงิน เสียค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ) ยิ่งอดีตประธานาธิบดี Luiz Inacio Lula da Silva ที่คนครึ่งประเทศรักมากต้องติดคุกข้อหาคอรัปชั่นและโดนห้ามลงเลือกตั้ง คนยิ่งเคว้ง แม้ลูล่าจะชักใยให้นอมินีของเขาคือ Fernando Haddad มาลงสมัครเป็นประธานาธิบดีรอบนี้แทน  แต่คะแนนโพลล์ก็ไม่สูงนัก การไม่รู้อนาคตนี้ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจบราซิลแย่ลง ค่าเงินปีนี้ร่วงจากสิบกว่าบาทต่อ 1 เฮอัล เหลือ 7.8 บาทต่อ 1 เฮอัลเมื่อต้นเดือนที่แล้วนี้เอง

ตามกฎเลือกประธานาธิบดีมีว่า ผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีนั้นต้องได้รับคะแนนเสียงเกิน 50% ของคะแนนโวททั้งหมด หากรอบแรกไม่มีใครถึงก็จะเอาสองคนคะแนนสูงสุดมาแข่งกันอีกหนในอีกสามสัปดาห์ถัดไป ทีนี้ล่ะจะได้ตัวจริง แต่เมื่อกลางปีนั้น ไม่มีผู้สมัครคนใดคะแนนนิยมในโพลล์เกิน 30% แถมคนกว่าครึ่งถ้าไม่ตอบว่ายังไม่รู้จะเลือกใครก็จะไปกาโนโวทด้วยซ้ำ

Jair Bolsonaro เป็นนักการเมืองความคิดแปลก ๆ เหมือนโดนัลด์ ทรัมป์ เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์สายชิคาโกที่เป็นลิเบอรัลก็จริง แต่คนมองว่าเขาเป็นขวาค่อนข้างจัดเพราะทัศนคติหลายอย่างต่อสังคมค่อนไปทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหยียดเพศ อยากล้มสิทธิพิเศษของคนดำ หรือแม้แต่การยกย่องรัฐบาลทหารในอดีต ก็เพราะเขาเป็นทหารมาก่อน และเป็น ส.ส.รัฐริโอที่อยู่ทางใต้ซึ่งมีชนชั้นกลางมากกว่าทางเหนือที่ยากจน แน่นอนว่าย่านนี้ ทหาร สื่อ นักวิชาการและชนชั้นกลางสวมเสื้อหลากสีเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายของอดีตประธานาธิบดีลูล่าที่ถูกมองว่าเป็นประชานิยม ค่ายของลูล่านี้ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ ชนชั้นล่างยังเชียร์ลูล่าและพลพรรคอยู่มาก ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าช่วงที่ลูล่าเป็นประธานาธิบดีปี 2546-54 ประชาชนอยู่ดีกินดีจริง ๆ

ก่อน 6 ก.ย.โพลล์โชว์ว่าโบโซนาโรแม้จะมีความนิยมนำหน้าคนอื่น แต่ก็มีแค่ราว 22% เท่านั้น เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในวันนั้น คือมีมือมีดแทงเขากลางถนนขณะกำลังหาเสียงในรัฐ Minas Gereis เจ็บหนักเสียเลือดมาก คะแนนเสียงเริ่มไหลเข้าหาตั้งแต่วันนั้น เป็นเพราะความเห็นใจในการถูกทำร้าย กอปรกับคนซื้อแนวความคิดของโบลโซนาโรที่จะปราบอาชญากรรมกับคอรัปชั่นให้หนัก เช่นเดียวกับคิดถึงผลประโยชน์บราซิลก่อนผลประโยชน์โลก โพลล์ที่ออกมาในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยาโชว์ว่าโบลโซนาโรน่าจะชนะเลือกตั้งเป็นผลให้ตลาดหุ้นตลาดเงินขานรับ หุ้นขึ้นเกินกว่า 5% เงิน 1 เฮอัลแลกได้เกือบ 9 บาท

แม้ว่าโบลโซนาโรจะยังคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งในการแข่งขัน 7 ต.ค. และต้องไปเจอกับ ฮัดดัด ตัวแทนของลูล่าซึ่งมาเป็นที่สอง ในการแข่งขันรอบตัดสิน 28 ต.คง แต่นักวิเคราะห์แต่ละสำนักก็ฟันธงว่าโบลโซนาโรต้องได้เป็นประธานาธิบดีแน่นอน  เขาอาจไม่ใช่คนฉลาด อาจจะดูห่ามๆด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลไกระบบมันเริ่มทำงาน ไม่มีมวลชนหรือองค์กรนอกระบบใดไปขัดขวางประชาธิปไตย เสถียรภาพก็จะบังเกิด ทุกมิติของประเทศจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม น่าคิดว่าโบลโซนาโรจะนำประเทศกลับสู่เส้นทางของความเรืองรองอย่างที่ลูล่าเคยทำได้หรือไม่ เขาจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและกวาดล้างโจรร้ายให้สิ้นซากได้ไหม และจะรับมือกับวิกฤตลูกโตอย่างผู้อพยพจากเวเนซูเอล่าอย่างไร น่าติดตามนะครับ