เมื่อจีนแอบแทรกซึมสหรัฐผ่านการฝังชิป

เมื่อจีนแอบแทรกซึมสหรัฐผ่านการฝังชิป

จีนเป็นประเทศที่มีข้อได้เปรียบในการแฝง หรือลอบใส่เครื่องมือลงในอุปกรณ์ต่างๆ

ตื่นตะลึงทั่วโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เมื่อสำนักข่าวรายใหญ่อย่าง บลูมเบิร์ก รายงานข่าวถึงการแทรกซึมบริษัทของสหรัฐอเมริการวมกว่า 30 บริษัท บริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ส่งภาพจากโดรนไปยัง CIA สำนักข่าวกรองของสหรัฐ และระบบสื่อสารที่ใช้ติดต่อกับสถานีอาวกาศนานาชาติ ISS และบริษัทยักษใหญ่อย่าง Apple และ Amazon 

โดยใช้วิธีคือสายลับชาวจีนซึ่งแอบฝังไมโครชิป ไว้ในอุปกรณ์แผงวงจรหลักของเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกผลิตโดยบริษัทลูกของบริษัทชื่อดังอย่าง Super Micro Computer จากโรงงานในจีน ไมโครชิปที่ใช้ มีขนาดเล็กมากเทียบได้กับปลายดินสอแท่ง ทั้งนี้ สายลับจีนจะใช้ไมโครชิปนั้นสร้างประตูลับ หรือช่องโหว่ เพื่อเจาะเข้าสู่ระบบเครือข่ายของบริษัทที่ใช้อุปกรณ์ที่ฝังไมโครชิปเหล่านั้นไว้

จีนเป็นประเทศที่มีข้อได้เปรียบในการแฝง หรือลอบใส่เครื่องมือลงในอุปกรณ์ต่างๆ เพราะเป็นผู้ผลิตมือถือ 75% ของมือถือทั่วโลก และอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ 90% ทั่วโลก จึงมีศักยภาพในการแพร่กระจายจากจำนวนอุปกรณ์ที่มีฐานผลิตที่จีนทั่วโลกนี้ 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Apple และ Amazon จะออกมาปฏิเสธ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นการโจมตีซัพพลายเชนที่ใหญ่ระดับโลก และกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว ทำให้หลายประเทศตื่นตัวและระมัดระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์มากขึ้น และยิ่งจับตามองสินค้าหรืออุปกรณ์ที่มาจากประเทศจีนมากขึ้น ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องตื่นตัวเตรียมรับมือการก่อการร้ายทางไซเบอร์ 

เพราะหากสำเร็จแฮกเกอร์จะได้ข้อมูลความลับที่กระทบความมั่นคงแน่นอน หรือเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสงครามทางการค้า ระหว่างประเทศผู้มีอำนาจสองยักษ์ใหญ่ของโลก เนื่องด้วยอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส่วนใหญ่ที่ขายในประเทศมาจากประเทศจีน 

จึงอาจทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มกีดกันทางการค้าจากประเทศจีนมากขึ้น เพื่อป้องกันภัยคุกคามหรือการก่อการร้ายทางไซเบอร์ เช่น การเพิ่มมาตรการการนำของเข้าจากประเทศจีน ไปหาประเทศใกล้เคียงเช่น ประเทศไต้หวัน ก็เป็นได้