ฝนตกขี้หมูไหล .. สมณะไร้ธรรม !!

ฝนตกขี้หมูไหล .. สมณะไร้ธรรม !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีข่าวเรื่องหนึ่งที่บุคคลสำคัญส่งเข้ามาให้ดูเรื่อง พระภิกษุบางรูป บางคณะ

เรียกร้องให้มีสิทธิทางการเมือง-การปกครอง สามารถใช้สิทธิเพื่อออกเสียงลงคะแนนได้ .. คล้ายที่ปรากฏในประเทศพุทธศาสนาเพื่อนบ้านเราบางประเทศ

อาตมาจึงได้เขียนตอบไปว่า พระภิกษุเหล่านั้นคงไม่เข้าใจความหมายของภิกษุในพระธรรมวินัยหรือพุทธศาสนาแท้จริง ดังปรากฏในพุทธเถรวาท และการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองดังกล่าว คงไม่ได้รับทราบระเบียบกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์จากเถรสมาคม

จึงควรเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในแต่ละเขตของภิกษุคณะดังกล่าวนั้น จะได้ตรวจสอบดำเนินการ เพื่อป้องกันการชักนำภัยมาสู่ศาสนาโดยเร็วพลัน ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นกระแส ที่สำคัญสถาบันสงฆ์ต้องแสดงบทบาทท่าทีที่ถูกต้องให้สังคมทราบว่า บทบาทหน้าที่ของพระภิกษุ-สามเณร ควรดำเนินไปในทิศทางใดในกระแสสังคมปัจจุบัน... นั่นหมายถึง การแสดงธาตุแท้ของสมณธรรม เพื่อการดำรงอยู่ของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ว่า เป็นอย่างไร !!

ในหลายเรื่องราวที่เข้าสู่กระแสสังคมยุคไอที จะเห็นอิทธิพลแห่งการสื่อสารที่รวดเร็วฉับไวในโลกไร้พรมแดนที่ไม่ธรรมดาเลย เพียงแค่แพร่ออกไปชั่วพริบตาเดียว จะกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมทันที ดังที่เคยนั่งดูวิวาทะเรื่อง พระรับเงินทองควรหรือไม่ .. เป็นไปได้หรือ ที่จะไม่รับเงินทองในยุคที่ชาวโลกมีเงินทองเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต !!

ในครั้งนั้นจึงต้องลุกออกมาพูดกันให้ชัดๆ ว่า โดยพระธรรมวินัยนั้นเป็นอย่างไร และโดยความเป็นจริงนั้น ในปัจจุบันยังทำได้หรือไม่ .. โดยยกตัวอย่างตัวเราเองนี่แหละ ในฐานะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่ถือปฏิบัติอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด และมิใช่ว่าไม่มีผู้ถวายหรือมีผู้ถวายปัจจัยไม่มากจึงออกมาพูด...

ในเรื่อง พระกับการเมือง ที่ยกขึ้นมากล่าวในเบื้องต้น ก็มิได้แตกต่างไปจาก พระกับเงินทอง ... เพราะเป็นเรื่องของโลกธรรมนำเข้าสู่กามคุณทั้งนั้น อันไม่ใช่วิสัยของสมณะหรือพระภิกษุในพุทธศาสนา

ในศาสนจักรที่วุ่นวายกันไม่รู้จบ เพราะพระภิกษุละทิ้งถิ่นธรรม กลับคืนไปสู่ถิ่นโลก มีความนิยมชมชอบใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข กันมากขึ้น จึงอาศัยฐานะตำแหน่งการปกครอง .. ยศศักดิ์ สื่อสารออกไปหาบริวาร ทรัพย์สิน เกียรติยศ ชื่อเสียง เราจึงพบเห็นเรื่องราวเชิงประจักษ์ในปัจจุบัน เมื่อพระจำนวนไม่น้อยแข่งขันการสร้างวัด สร้างบริวารกัน โดยมีการก่อกิจกรรมบุญกุศลขึ้นมาจูงใจศรัทธาสาธุชนที่หวังได้ความดี ถึงสวรรค์ พระนิพพานในทางลัด อย่างไม่ต้องออกกำลังเพียรให้มันชอกช้ำทุกข์กายเล่น

ศาสนนิยมในสังคมปัจจุบันจึงเปลี่ยนศาสดาและบิดเบือนคำสอนอย่างฉ้อฉลกันมากขึ้น จนหมู่ชนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยอันวิเศษของพระพุทธองค์ ลุ่มหลงมึนงงไปตามกระแส... อย่างข่าวล่าสุดสำนักค้าบุญแถวปทุมธานีก่อกิจกรรมใหญ่อีกแล้ว และหนีไม่พ้นการระดมทุนครั้งใหญ่ผ่านการสร้างกิจกรรมส่งเสริมบุญ ด้วยวิธีการภาษาที่สละสลวยสวยเก๋ จนจิตคนเราที่ทุกข์มากๆ มันเคลิบเคลิ้มจินตนาการตามไปด้วยอย่างสุขใจจากเพียงแค่คิดตาม... จึงไม่ยากต่อการล้วงกระเป๋า ควักเอาเงินยังชีพก้อนสุดท้ายออกมาทำบุญ ด้วยหวังว่าจะได้เป็นต้นทุนต่อเติมบุญไปข้างหน้า ให้เกิดเป็นดอกเป็นผลมหาศาล... ฝนตกขี้หมูไหล จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้…

จริงๆ แล้ว หากเรากลับมามองดูค้นหาความจริงว่า อะไรทำให้จิตใจเราเสื่อมลงทุกวันๆ.. ก็คงพบคำตอบด้วยตนเองว่า มาจากความอยาก ... ไอ้ความอยากตัวเดียวนี่แหละ ที่มันทำเอาสัตว์โลกปั่นป่วนไปทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นในเขตวัด เขตบ้าน ด้วยคนเราดำเนินชีวิตไปตามความพอใจ อย่างขาดสติปัญญา... ความพอใจจึงไม่พอดี ทำให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงไป พึงใจ และติดใจ ในอารมณ์นั้นๆ ขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เมื่อจิตใจกระทบกับอารมณ์อย่างขาดสติปัญญา สร้างกระแสความคิดโลดแล่นไปตามกิเลสที่เกาะกุมรวมกลุ่มอยู่ในจิตใจนั้นก็เกิดขึ้น ที่สะท้อนออกมาในรูปลักษณะ ความรัก ความชัง ความหลง จิตใจจึงทะยานอยาก เพื่อเข้าไปยึดถือเกี่ยวข้องกับวัตถุ สิ่งของ ที่ก่อเป็นรูปอารมณ์นั้นๆ อยู่ในจิต เพื่อแสวงหาสิ่งสนองตอบความต้องการด้วยการก่อเกิดการกระทำขึ้น เมื่อการกระทำมี ผลย่อมปรากฏตอบแทนคืนเจ้าของการกระทำ ถูกใจก็ชอบเป็นสุข .. ไม่ถูกใจก็ไม่ชอบเป็นทุกข์ และทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจก็ผันแปรไปตามธรรม ..ที่สุดจึงไม่ได้ดังใจ ให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจเที่ยวตามไขว่คว้าหาดวงดาวไปตามจินตนาการของจิต .. ที่ลวงล่อหลอกเล่นจิตไปวันๆ สมคำว่า “ฝนตกขี้หมูไหล...” จึงยังใช้ได้อยู่เสมอ กับพฤติกรรมอนาถาของพระคนในยุคทุศีลลอยฟ่องทั่วอาณา..

 

เจริญพร