คำสอนจากท่านทาไลลามะ

คำสอนจากท่านทาไลลามะ

มนุษย์ปัจจุบันแสวงหาคำสอนเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขกันมากกว่าเดิม โดยเฉพาะที่ต่างจากที่ได้ยินกันอย่างคุ้นหูอยู่ในบ้านเรา

ท่านดาไลลามะองค์ที่14 ผู้ได้รับรางวัลโนเบิล สาขาสันติภาพ ในค.ศ. 1989 ให้คำสอนที่น่าสนใจมาก ขอนำคำสอน บางส่วนของท่านมาเล่าสู่กันฟัง

ดาไลลามะ เป็นชื่อที่มักเรียกกัน บางครั้งก็นิยมออกเสียงว่า ทะไลลามะ” ซึ่งเป็นภาษามองโกเลีย Dalaiแปลว่ามหาสมุทร ส่วนในภาษาทิเบตแปลว่าพระชั้นสูง “ทะไลลามะ” เป็นชื่อตำแหน่งประมุขหัวหน้าคณะสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก เป็นผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของ ชาวทิเบต

ตามความเชื่อของชาวทิเบต องค์ทาไลลามะเป็นอวตารในร่างมนุษย์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(พระโพธิสัตว์ องค์สำคัญของพระพุทธศาสนา มหายานเป็นบุคลาธิษฐานซึ่งหมายถึงบุคคลอันเป็นที่ตั้งแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง) เมื่อองค์ทะไลลามะองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ไปก็จะกลับชาติมาประสูติใหม่เป็นองค์ทะไลลามะองค์ต่อไป

ปัจจุบัน องค์ทาไลลามะ เป็นองค์ที่14 มีชื่อว่า เทนซิน เกียตโซ(Tenzin Gyatso) โดยมีชื่อดั้งเดิมว่า ลาโมทอนดุป คณะค้นหาองค์ทาไลลามะองค์ใหม่หลังจากองค์ที่13 สิ้นพระชนม์ได้พบเด็กน้อยอายุ 3 ขวบ ผู้มีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่มั่นใจได้ว่าเป็นองค์ที่13 ที่กลับชาติมาประสูติเช่นจำและทักชื่อของพระที่มากับคณะได้ สามารถเลือกสิ่งของเครื่องใช้ขององค์ที่แล้วที่เคยใช้ได้ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นจึงจัดขบวนใหญ่โตมาต้อนรับกลับไปเมืองหลวง

องค์ทาไลลามะ องค์ที่ 14 เกิดค.ศ. 1937 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีพี่น้อง 8 คน ท่านมีลักษณะของความเมตตาสูง ฉลาดหลักแหลม ชอบช่วยเหลือผู้คนตั้งแต่ยังเล็ก ท่านต้องเติบโตในวังตั้งแต่ยังเล็กที่มีพระผู้ใหญ่สอนหนังสืออย่างเข้มข้นในศาสตร์ต่างๆและได้รับการสถาปนาในค.ศ. 1940

เหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็คือ การบุกยึดดินแดนทิเบตของจีน ในค.ศ. 1950 จนท่านต้องลี้ภัยไปอยู่ในอินเดียตั้งแต่ปี 1959 เป็นต้นมา

ท่านเขียนหนังสือและเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปทั่วโลกเดินทางตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เขียนหนังสือมากกว่า 50 เล่ม หลายเล่มมียอดขายเป็นล้าน เป็นที่รู้จักอย่างดีจากคนทั่วโลกที่เลื่อมใสในวัตรปฏิบัติอันงดงาม เป็นกันเองกับทุกผู้ทุกนาม มีความเมตตาสูงยิ่ง

ต่อไปนี้เป็นคำสอนส่วนหนึ่งของท่านเกี่ยวกับคุณค่าของตัวเองและการใช้ชีวิต(ขอย่อและต่อเติมจากที่ปรากฎในอินเตอร์เน็ตซึ่งไม่ทราบผู้เขียน)

(1) จุดประสงค์สูงสุดในชีวิตของคนเราคือการมีความสุข เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตบ้างแต่อย่างไรหัวใจของเราก็ต้องการความหวังเพราะมันจะทำให้เราสามารถก้าวต่อไปได้(2) ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเรายึดติดกับความแตกต่างระหว่างกันทั้งเรื่อง เชื้อชาติ ศาสนาการศึกษาฐานะ แต่จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เราต้องจำไว้ก็คือ เราล้วนเป็นมนุษย์เหมือน ๆกัน

(3) มิตรภาพมิได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียง เงินทองหรือความแข็งแกร่งกำยำของร่างกายแต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อใจกันและความรัก (4)ทุกๆคนต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสิ่งดีๆที่ไม่เพียงแต่ดีต่อตัวเองหรือดีต่อครอบครัวเท่านั้นแต่ต้องเป็นผลดีต่อมนุษยชาติด้วยเพราะความรับผิดชอบร่วมกันคือแนวคิดที่ทำให้มวลมนุษย์อยู่รอดต่อไปได้

(5) ถ้าอยากมีชีวิตที่มีความสุขจงเปิดใจกว้างยอมรับและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพราะ นี่คือพื้นฐานของมิตรภาพ  (6) ถ้ามนุษย์ฆ่าสัตว์มันเป็นเรื่องที่เศร้า แต่ถ้ามนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองมันจะเป็นเรื่องที่เศร้าสลดยิ่งกว่า  (7) ข้าพเจ้าต้องการเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นเหมือนกับเด็ก นั่นก็คือเปิดใจและยอมรับผู้อื่นในสิ่งที่พวกเขาเป็น

(8) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามารถลดความกลัวรวมถึงสร้างความมั่นใจในตัวเราให้มากขึ้นได้ เมื่อเราเชื่อใจผู้อื่นและเปิดใจยอมรับพวกเขา เราจะไม่รู้สึกเหมือนกับอยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป  

(9) ข้าพเจ้าเป็นปรมาจารย์ด้านการหัวเราะแม้ว่าข้าพเจ้าจะเคยพบเจอปัญหาใหญ่ๆมากมายในชีวิตหรือประเทศของข้าพเจ้ากำลังเจอช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่ข้าพเจ้าก็มักจะหัวเราะออกมาบ่อยๆ การหัวเราะเป็นเหมือนโรคติดต่อที่สามารถแพร่ไปได้ง่ายมากๆ และเมื่อมีคนถามว่า ข้าพเจ้าทำอย่างไรถึงมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหัวเราะในช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ ข้าพเจ้าก็ตอบไปอย่างง่ายๆว่า ‘ก็ข้าพเจ้าเป็นปรมาจารย์ด้านการหัวเราะนี่’

(10) ความสุขที่ยั่งยืนเกิดจากปัจจัยภายในซึ่งได้แก่สภาพจิตใจที่ฝึกหัดให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างมีความเมตตากรุณา(compassion)ซึ่งหมายถึงสภาพจิตใจอันไม่มีความก้าวร้าวกล่าวคือมีสภาพจิตที่ต้องการให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนศัตรูหรือแม้แต่สัตว์  (11) จงมองว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้ามัวแต่จะโทษสิ่งต่าง ๆ เมื่อเกิดความทุกข์ และมองว่าเป็นสิ่งผิดธรรมชาติและไม่เป็นธรรมแล้วเราก็จะหาความสุขไม่ได้

คำสอนใดที่เพียงแต่ผ่านหูย่อมไม่เกิดผล การคิดวิเคราะห์และนำไปปฏิบัติจริงเท่านั้นจึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง