2 การลงทุน” ที่ต้องเริ่ม...จับตามอง

2 การลงทุน” ที่ต้องเริ่ม...จับตามอง

คุณผู้อ่านหลายท่านคงรู้ดีว่า ปีนี้...อาจถือเป็นปี “โชคร้าย” ของนักลงทุนที่ลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล หลังจากที่ปีที่แล้ว

เป็นปี Golden Year ของการลงทุนประเภทนี้ อีกการลงทุนหนึ่งที่ผมมองว่า ปีนี้ค่อนข้างเป็นปีที่หนักหนาคือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน ในขณะที่บรรดาหุ้นเทคโนโลยีตัวดังๆของอเมริกา เช่น หุ้นกลุ่ม FAANG อันประกอบไปด้วย Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google ได้ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่กันเป็นว่าเล่น หุ้นกลุ่ม BAT (Baidu, Alibaba, Tencent) ซึ่งล้วนอยู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของจีน กลับมีราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์อันเนื่องมาจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับหลายๆประเทศโดยเฉพาะกับประเทศจีน วันนี้...ผมจึงอยากจะพาคุณผู้อ่านไปดู 2 การลงทุน ที่ผมมองว่ามีราคาตกลงมามากแล้ว และน่าจะมีโอกาสกลับมาทะยายขึ้นไปบนท้องฟ้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ครับ

หนึ่ง เงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency)

1 เมษายนปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศให้ “บิทคอยน์” เป็นการชำระเงิน (Payment) ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ให้บิทคอยน์เป็นสกุลเงิน (Currency) ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพียงเท่านั้นก็ทำให้ราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้นจาก 1,000 ดอลลลาร์ทะยานไปถึงกว่า 5,000 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 6 เดือน พอปลายปี 18 ธันวาคม CME ตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็นำตราสาร Bitcoin Futures เข้ามาซื้อขายในตลาด และทำให้ราคาบิทคอยน์สูงเกือบ 20,000 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ ปีที่แล้วปีเดียว...ราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 20 เท่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นปีทองของบิทคอยน์และเงินสกุลดิจิทัลอื่นๆ

ในปีนี้ (2561) ถือได้ว่าเป็นปีที่นักลงทุนเงินสกุลดิจิทัลต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทีเดียว ราคาบิทคอยน์จากเกือบ 20,000 ดอลลาร์ลดลงมาเหลือประมาณ 6,000 ดอลลาร์ หรือลดลงไป 70% ของมูลค่าสูงสุด ไม่ต้องนับเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเธอเรียม (Ethereum) ราคาจากเกือบ 1,400 ดอลลาร์ลดลงเหลือประมาณ 200 ดอลลาร์ หรือลดลงกว่า 80% และบรรดาเหรียญอื่นๆก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากกัน บางเหรียญมีราคาลดลงมากกว่า 95% จากจุดสูงสุดเสียอีก อย่างไรก็ตามโอกาสในการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลก็ดูเหมือนว่าน่าจะเริ่มดีขึ้น โดยผมมองว่า ในระยะเวลา 3-5 ปีนี้ ราคาเหรียญต่างๆที่มีมูลค่าการตลาดสูง...ก็น่าจะกลับมา ซึ่งคุณผู้อ่านที่คิดจะลงทุนในการลงทุนประเภทนี้ อาจจะค่อยๆเริ่มต้นสะสมกันได้บ้างแล้ว และน่าจะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีในระยะเวลานี้

สอง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน

ในปีที่ผ่านมา (2560) เป็นปีที่ราคาของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีของจีนพุ่งกระฉูด ราคาหุ้นของ Tencent (เจ้าของแอป WeChat ที่โด่งดังของจีน) ในปีที่แล้วปีเดียวพุ่งกว่า 114% ในขณะที่ปีนี้หุ้นตัวนี้กลับมีราคาตกลงไปแล้วกว่า 30% ส่วนหุ้นตัวอื่นๆก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันเลย ซึ่งผมอยากจะคุยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม BAT เท่านั้น ดังนี้ครับ

-Baidu  คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบกันดีว่า เว็บ Baidu เกือบจะกลายเป็นเว็บค้นหาข้อมูลแห่งเดียวที่ผูกขาดตลาดจีน เพราะ Google ได้หยุดทำธุรกิจในประเทศจีนไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2553 อย่างไรก็ตาม ข่าว Google กำลังใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการที่จะกลับมาเปิดกิจการใหม่ในประเทศจีนก็ทำให้นักลงทุนพากันกังวล ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันก็คือ Google ไม่น่าจะกลับมาทำธุรกิจที่จีนได้ง่ายๆ เพราะรัฐบาลจีนคงเข้ามาเซ็นเซอร์เนื้อหาต่างๆอย่างหนักหน่วง และทำให้การค้นหาข้อมูลของ Google ไม่เป็นอิสระ ซึ่งนั่นคงจะผิดหลักการของ Google ที่สามารถสืบค้นหาข้อมูลได้อย่างอิสระ ราคาหุ้นของ Baidu ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดประมาณ 280 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และราคาในช่วงนี้ก็ลงมาเหลือประมาณ 210 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น หรือตกลงมาประมาณ 25%

-Alibaba  ราคาหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดเกือบ 210 ดอลลาร์ ลงมาเหลือประมาณ 150 ดอลลาร์ หรือตกลงมาประมาณ 30% ท่ามกลางความกลัวว่าจะต้องประสบกับปัญหาเรื่องภาษีจากสงครามการค้า สิ่งที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็คือ ทุกวันนี้ Alibaba มีอัตราการเจริญเติบโตในระดับ 60% ซึ่งนับว่าสูงมาก และมันก็ถูกซื้อขายในอัตราส่วนระหว่างราคาต่อหุ้น/กำไรต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 50 เท่า และราคาต่อหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นในอนาคตหรือ PEG ก็จะอยู่ที่ประมาณ 30 เท่า จึงดูเหมือนว่า ความน่าลงทุนในหุ้นตัวนี้ยังคงมีอยู่

-Tencent  เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ราคาหุ้นได้ไต่ถึงจุดสูงสุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่กว่า 470 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น และทำสถิติราคาสูงสุดตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดฯมาในปี 2547 ในไตรมาสสองที่ผ่านมา ผลประกอบการของ Tencent ตกลงมากว่า 2% และต่ำกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ผลประกอบการที่ออกมาย่ำแย่ดังกล่าวมาจากยอดขายที่ตกลงกว่า 19% โดยมีเหตุมาจากหน่วยงานจีนไม่อนุมัติเกมออนไลน์ตัวใหม่ของบริษัทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และน่าจะเป็นเหตุการณ์ร้ายชั่วคราวที่เกิดขึ้น ปัจจุบันราคาต่อหุ้นอยู่ประมาณ 300 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งตกลงมาแล้วกว่า 30%

และนั่นคือ “2 การลงทุน” ที่ต้องเริ่มจับตามอง อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง จึงขอให้คุณผู้อ่านค้นหาและศึกษาข้อมูลมากๆ ก่อนการตัดสินใจนะครับ และขอให้คุณผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com