Robo-advisor นวัตกรรมเปลี่ยนโลกการลงทุน

Robo-advisor นวัตกรรมเปลี่ยนโลกการลงทุน

สาเหตุทำให้ Robo-advisor เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว คือ การลงทุนแบบอัตโนมัติ เงินเริ่มต้นลงทุนที่ไม่มาก ค่าธรรมเนียมค่อนข้างต่ำ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประชากรโลกได้นำเอานวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นวัตกรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนโลกที่อยู่รอบตัวเราไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Facebook / Instragram / WhatsApp / Line บน Smart Phone การดูหนังฟังเพลงผ่าน Netflix และ Spotify การเดินทางด้วย Uber หรือการจองห้องพักผ่าน Airbnb ในโลกการลงทุนก็เช่นกัน สิ่งที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมการลงทุนของประชากรโลกทุกคนคือนวัตกรรมที่ชื่อว่า Robo-advisor

หน้าที่ของ Robo-advisor ตามคำนิยามของ U.S. SEC (ก.ล.ต. ของประเทศสหรัฐอเมริกา) คือ โปรแกรมลงทุนแบบอัตโนมัติ ซึ่งเริ่มจากกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ใช้งาน เกี่ยวกับระยะเวลาการลงทุน สถานะทางการเงิน ตลอดจนความสามารถที่แท้จริงในการรับความเสี่ยง จากนั้น Robo-advisor จะนำเสนอแผนการลงทุนในรูปแบบ Asset Allocation ว่าควรลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคน พร้อมทั้งลงทุนให้อัตโนมัติและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ โดยที่กองทุนประเภท ETF (Exchange Traded Fund) เป็นสินค้าที่ถูกใช้ใน Robo-advisor มากที่สุด

คำว่า Robo-advisor มีที่มาจากคำว่า Robot (เน้นเรื่องการทำงานแบบอัตโนมัติเหมือนหุ่นยนต์) + Advisor (ที่ปรึกษาด้านการลงทุน) โดยที่ Robo-advisor เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วในช่วง Hamburger Crisis และในปัจจุบันรูปแบบการทำธุรกิจ Robo-advisor ได้ถูกนำไปใช้ในหลายประเทศที่มีพัฒนาการของตลาดทุนในระดับที่สูง เช่น อังกฤษ เยอรมนี ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น โดยมี Betterment และ Wealthfront เป็น Robo-advisor ที่มีคนพูดถึงมากที่สุด ทั้งสองรายนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AuM) รายละไม่ต่ำว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Robo-advisor เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว คือ การลงทุนแบบอัตโนมัติ จำนวนเงินเริ่มต้นลงทุนที่ไม่มาก ค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างต่ำ และการเข้าถึงที่สะดวกผ่าน Smart Phone กระแสความนิยมนี้จึงเป็นเสียงร้องเรียกให้สถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจด้านการลงทุนรายเดิม จำเป็นต้องปรับตัวและนำเสนอ Robo-advisor ออกมาบ้าง โดยที่ Vanguard และ CharlesSchwab ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ ได้เปิดตัวบริการ Robo-advisor ภายใต้ชื่อ Vanguard Personal Advisor Services และ Schwab Intelligent Portfolios โดยมี AuM ประมาณ 100,000 และ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ

Robo-advisor ช่วยให้คนทั่วไปที่มีเงินเก็บไม่มาก สามารถเข้าถึงบริการด้านการลงทุนที่มีคุณภาพได้ ซึ่งแต่เดิมเป็นบริการที่มีไว้สำหรับลูกค้าระดับ High Net Worth เท่านั้น โดยลูกค้าที่ใช้งาน Robo-advisor มักจะเป็นกลุ่ม Millennials ซึ่งมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มนักลงทุนเดิม โดยมีสัดส่วนของนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่เคยลงทุนอะไรนอกเหนือจากการฝากเงินในธนาคารอยู่พอสมควร ในส่วนพฤติกรรมของลูกค้าที่ใช้ Robo-advisor นั้น มักจะเป็นการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามกระแสรายได้ที่เข้ามา ดังนั้น Robo-advisor แต่ละรายจะมีบริการตัดเงินจากบัญชีเงินฝากในธนาคารเพื่อนำมาลงทุนเป็นประจำทุกเดือนแบบอัตโนมัติ ซึ่งส่วนมากผู้ใช้งานจะเลือกบัญชีที่ใช้รับเงินเดือนเป็นช่องทางการตัดเงินเพื่อความสะดวก นอกจากนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกาได้มี Start-up หลายรายที่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอบริการ Micro-saving / Micro-investing หรือการลงทุนครั้งละน้อย ๆ ไปพร้อมกับการใช้จ่ายทุกครั้ง โดยมี Acorns เป็นผู้นำในบริการนี้
กล่าวได้ว่านวัตกรรม Robo-advisor ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักลงทุนได้โดยง่ายในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และ Robo-advisor จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อประชากรโลกเริ่มใช้งาน Robo-advisor มากขึ้น ในส่วนของประเทศไทยนั้น ผมจะขอเล่าถึงพัฒนาการของ Robo-advisor แบบไทย ๆ ในครั้งหน้านะครับ