ทางเลือกเพื่ออนาคต(2)

ทางเลือกเพื่ออนาคต(2)

ต้องกล้าคิดกล้าทำให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแต่พูดเท่านั้น

ในยุคที่ใครๆ ก็ผันตัวเองมาสู่การเป็นสตาร์ทอัพ หากต้องการจะกระโจนเข้าสู่สมรภูมินี้ก็ต้องคิดให้รอบด้าน เริ่มจากข้อแรกคือภาระรับผิดชอบทั้งครอบครัว พ่อแม่ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป วันนี้มาต่อกันในข้อที่ 2 คือความเบื่อหน่ายจากงานเดิมที่ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสัน

เพราะธุรกิจสตาร์ทอัพที่ดูหวือหวามีความแปลกใหม่ ดูท้าทายความสามารถซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวและการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างถึงที่สุด เราจึงต้องถามตัวเองให้ดีก่อนว่าพร้อมหรือไม่กับการนับหนึ่งใหม่ในธุรกิจที่ไม่คุ้นเคยและความกดดันจากสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างจากที่เคยทำมาตลอดชีวิต

ในขณะที่งานเดิมที่เราเคยมองว่าน่าเบื่อนั้นเคยได้ลองตั้งใจปรับเปลี่ยนมันอย่างจังหรือไม่ เพราะท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจย่อมทำให้หลายๆ องค์กรต้องปรับเปลี่ยนตัวเองกันอย่างเต็มที่ งานเดิมๆ ที่เราเคยทำมานานนับสิบปีก็อาจเปลี่ยนแปลงให้หวือหวาและสนุกขึ้นได้เช่นกัน

การเลือกว่ามาเรียนรู้สิ่งใหม่ไปกับธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือจะปรับโฉมธุรกิจเดิมที่ทำมายาวนานจึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตัวเราเองว่า แนวทางใดน่าสนใจกว่ากัน เพราะแต่ละคนก็มีรายละเอียดในหน้าที่การงานที่ไม่เหมือนกันเลย มีแต่ “การเปลี่ยนแปลง” ที่ต้องเกิดขึ้นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าเราจะเพิ่งเรียนจบมาหรือทำงานมา 20-30 ปีแล้วก็ตาม

ข้อสาม ต้องดูความรู้สึกของตัวเองในการตื่นมาทำงานตอนเช้าทุกวันว่า เรารู้สึกตื่นเต้นอยากออกไปลุยงานเสมอหรือตื่นนอนมาด้วยจิตใจห่อเหี่ยวไม่อยากก้าวออกไปจากบ้าน เพราะไม่อยากรับแรงกดดันจากที่ทำงาน หรือเบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อเจ้านาย ฯลฯ

ความรู้สึกแบบนี้เราจำเป็นต้องขจัดมันออกไปจากจิตใจให้ได้ เพราะเวลาที่เราใช้ไปกับการทำงานนั้นอาจเป็นสัดส่วนสูงถึง 2 ใน 3 ของทั้งชีวิต การไปทำงานโดยไม่มีชีวิตจิตใจ หรือทำไปเพราะจำใจจึงเป็นภาวะที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น

งานที่เรารู้สึกสนุกและท้าทายจะกระตุ้นให้เราเกิดพลังความคิดเชิงบวก และเติมเต็มการเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตอยู่เสมอ หากต้องฝืนทำก็ต้องวิเคราะห์ว่าสาเหตุมาจากเรื่องใด และต้องแก้ไขจัดการให้ได้ และเมื่อลองทุกทางแล้วไม่ได้ผลก็อาจหมายความเราอาจไม่เหมาะกับงานนั้นจริงๆ ก็เป็นได้

ข้อที่สี่ งานที่เราเคยทำซ้ำๆ กันเป็นร้อยครั้งพันครั้ง หากมองในมุมหนึ่งอาจเป็นความน่าเบื่อและอาจทำให้เราขาดพลังในการทำงาน แต่หากเราคิดหาวิธีให้ทำงานให้ดีขึ้นได้แม้เพียงน้อยนิดแต่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นทุกครั้งผลลัพท์ของมันอาจยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด

การทำงานซ้ำๆ แล้วพอใจกับผลลัพท์ที่ได้ นั่นหมายความว่าในแต่ละปีที่ผ่านไปเราอาจไม่ได้พัฒนาตนเองเพิ่มขึ้นเลย เงินเดือน หรือโบนัสที่ได้เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้สะท้อนความสามารถที่แท้จริง แต่เป็นไปตามความเคยชินเท่านั้นซึ่งไม่เป็นผลดีใดๆ ต่อองค์กรเลย

ข้อที่ห้า อย่าเสียใจหรือเสียดายโอกาสที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานที่เราไม่อาสาทำแต่มีคนอื่นทำแล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนได้รับคำชื่นชม หรือเสียใจที่ไม่ยอมเลือกเส้นทางที่ดีเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นที่แม้จะเรียนจบที่เดียวกันมาแต่กลับมีความก้าวหน้าในชีวิตการงานดีกว่าเรามาก

ความรู้สึกเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้หากเราไม่รู้จักเก็บเกี่ยวประสบการณ์และคว้าทุกโอกาสเอาไว้ได้ เพราะเราเห็นคนรอบข้างหลายๆ คนปล่อยให้โอกาสดีในมือหลุดลอยไปแล้วโทษว่าเป็นเพราะโชคชะตา เป็นเพราะเจ้านาย ฯลฯ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำเต็มหน้าที่แล้วหรือยัง

เพราะหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางข้อจำกัดมากมายแต่กลับสามารถขวนขวายสร้างสิ่งใหม่ได้สำเร็จ เช่นเดียวกับนวัตกรรมหลายๆ อย่างก็คิดค้นขึ้นมาได้แม้จะมีอุปสรรคจำนวนมาก การทำงานของเราจึงต้องกล้าคิดและกล้าทำให้เกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น