ฤางานนี้...ทรัมป์จะแพ้เพราะ “ถั่วเหลือง”

ฤางานนี้...ทรัมป์จะแพ้เพราะ “ถั่วเหลือง”

คุณผู้อ่านหลายท่านคงจำได้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศในช่วงหาเสียงไว้ว่า เขาจะแก้ไขระบบการค้าที่ไม่ยุติธรรม

และล่วงละเมิดกฎการค้าต่างๆ ของจีน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงได้พยายามตอบโต้และบีบบังคับจีนด้วยมาตรการต่างๆ เริ่มต้นด้วยวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา อเมริกาประกาศเพิ่มภาษีเป็น 25% ของสินค้านำจากจีนที่มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรก 6 ก.ค. เก็บภาษีกับสินค้ามูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ และช่วงที่สอง 23 ส.ค. เก็บภาษีเพิ่มขึ้นกับสินค้าจากจีนมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์ เท่านี้ยังไม่จบ...ในเวลานี้อเมริกากำลังริเริ่มเก็บภาษี 25% กับสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีกสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นภายในเดือน ก.ย.นี้

แน่นอนว่า...จีนก็คงไม่ได้นั่งเฉยๆรอให้ทางอเมริกาเป็นผู้กระทำเพียงฝ่ายเดียว จีนก็ได้ใช้กำแพงภาษี 25% กับสินค้าที่นำเข้าจากอเมริกามูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับที่อเมริกากระทำต่อจีน แต่การตอบโต้ของจีนครั้งนี้...ไม่ธรรมดา เพราะจีนได้ลงไปศึกษาในรายละเอียดพบว่า สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากอเมริกาพบว่าเป็น ถั่วเหลือง เครื่องบิน รถยนต์ และอื่นๆ หลังจากที่ได้พิจารณาแล้ว จีนได้เลือกที่จะตอบโต้เต็มรูปแบบกับสินค้า ถั่วเหลืองที่นำเข้าจากอเมริกา และทำไมต้องเป็น ถั่วเหลืองด้วยล่ะ?

หากพิจารณาการปลูกถั่วเหลืองทั่วโลกในช่วงสิ้นปี 2559 พบว่า สหรัฐอเมริกาปลูกถั่วเหลืองมากที่สุดโดยมีปลูกสูงถึง 44% ของปริมาณผลผลิตทั้งโลก ตามมาด้วย บราซิลที่ 38% และอาร์เจนตินาที่ 6.4% ทางด้านผู้นำเข้ามากที่สุดในโลกพบว่า จีนเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองมากที่สุดในโลกที่ 62% เนเธอร์แลนด์ และเม็กซิโก เป็นผู้นำเข้าอันดับที่สองร่วมกันที่ 3.1% แค่ภาพเริ่มต้น คุณผู้อ่านก็คงเห็นภาพแล้วว่า จีนมีอิทธิพลในการซื้อถั่วเหลืองจากประเทศต่างๆมากมายเพียงไหน? ในช่วงปี 2559-2560 พบว่าปริมาณการซื้อถั่วเหลืองของจีนสูงถึง 60% ของปริมาณถั่วเหลืองทั้งหมดที่อเมริกาผลิตได้ นั่นหมายถึงว่า ถ้าจีนที่มีกำลังซื้อมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และไม่ซื้อถั่วเหลืองจากอเมริกาแล้ว อเมริกาไปขายให้ประเทศอื่นๆแบบบีบบังคับขาย จะขายได้เท่าไรกัน เพราะประเทศที่ซื้อถั่วเหลืองอันดับสอง...อันดับสาม...สามารถซื้อได้เพียง 3% เท่านั้น

คุณผู้อ่านคงทราบดีว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตมากกว่า 10% เป็นเวลาหลายสิบปี ทุกวันนี้เศรษฐกิจจีนก็ยังคงเติบโตต่อไปด้วยอัตรา 6% – 7% ต่อปี ซึ่งทำให้ชนชั้นกลางในประเทศจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด คนจีนบริโภคเนื้อสัตว์ขึ้นอย่างมโหฬาร จึงทำให้อาหารสัตว์ขายดิบขายดีตามไปด้วย และส่วนผสมสำคัญในอาหารสัตว์ก็คือ ถั่วเหลืองนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่า จีนจะกลายเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย อ่านถึงตรงนี้แล้ว...มันเกี่ยวอะไรกับทรัมป์ล่ะ? หากไปดูรัฐที่ปลูกถั่วเหลืองมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาพบว่า ไอโอวา อิลลินอยส์ เนบราสกา อินเดียนา และโอไฮโอ รัฐเหล่านี้เป็นรัฐที่ส่งออกถั่วเหลืองมากที่สุดในบรรดารัฐทั้งหมดของอเมริกา และที่สำคัญไปกว่านั้น รัฐเหล่านี้คือฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกันและของประธานาธิบดีทรัมป์นั่นเอง

Doug Saathoff อาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่มีความจงรักภักดีต่อพรรครีพับลิกัน คุณทวดของเขาอพยพมาจากเยอรมัน และเข้ามาตั้งรกรากในเมือง Trumbull ในรัฐเนบราสกาเมื่อกว่า 200 ปีที่ผ่านมา เขาเริ่มต้นปลูกถั่วเหลืองเป็นครั้งแรกในปี 2539 และไม่เคยประสบกับภาวะขาดทุนเลยตั้งแต่นั้นมา หลังวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ราคาขายถั่วเหลืองอยู่ที่ 17 ดอลลาร์ต่อบูเชล (bushel) ซึ่งทำให้บรรดาเกษตรกรเหล่านี้พากันร่ำรวย แต่ช่วงต้นปี 2561 นี้...ราคาถั่วเหลืองก็ตกลงไปเหลือประมาณ 11 ดอลลาร์ต่อบูเชล แต่พอเกิดสงครามการค้าขึ้นราคาถั่วเหลืองทุกวันนี้เหลืองเพียง 9 ดอลลาร์ต่อบูเชลเท่านั้น หรือประมาณครึ่งหนึ่งของราคาในยุครุ่งโรจน์ของถั่วเหลือง เพราะจีนขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าถั่วเหลือง เพื่อโจมตีฐานเสียงของทรัมป์ทางอ้อม

นโยบายสงครามการค้าของทรัมป์ไม่ได้สร้างปัญหาแค่ราคาถั่วเหลืองตกต่ำเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมายแก่ครอบครัวเกษตรกรถั่วเหลือง เช่น ปัญหาพ่อกับลูกทะเลาะกัน...เมื่อวิจารณ์ถึงว่าทรัมป์ทำถูกหรือทำผิดกันแน่ หรือการที่ทรัมป์ดำเนินนโยบายการค้าโดยเอาชีวิตของเกษตรกรถั่วเหลืองทั้งประเทศเป็นเดิมพัน แน่นอนว่า...สงครามการค้าครั้งนี้ได้ทำให้คะแนนเสียงที่เคยสนับสนุนของทรัมป์เริ่มเปลี่ยนไป สำนักวิจัย Pew Research ได้ทำการสำรวจผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวน 3,014 คน ที่เคยได้สำรวจไปแล้วในปี 2559 และได้ทำการสำรวจอีกครั้งในปีนี้พบว่า มากกว่า 60% ของคนที่เคยลงคะแนนให้ทรัมป์เริ่มสงสัยว่า ตัวเองทำถูกหรือเปล่า?...ที่ลงคะแนนให้ทรัมป์โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่เริ่มไม่พอใจมากขึ้น...และมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้คงไม่มีใครตอบได้ว่า แท้ที่จริงแล้วทรัมป์จะยังคงอยู่ในใจของประชาชนชาวอเมริกันหรือเปล่า? จนกว่าจะถึงวันที่ 6 พ.ย. 2561 ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ของสหรัฐ และวันนั้นเราก็จะรู้ว่าพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีทรัมป์จะยังคงรักษาที่นั่งในทั้งสองสภาได้เหมือนเดิมอีกต่อไปหรือไม่? หรือสูญเสียที่นั่งเพิ่มขึ้นจากนโยบายสงครามการค้า

ฤางานนี้...ทรัมป์จะแพ้เพราะ ถั่วเหลือง

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com