ทำไมหุ้นไทยชอบ 'วิ่ง' ก่อน 'งบออก'

ทำไมหุ้นไทยชอบ 'วิ่ง' ก่อน 'งบออก'

การใช้ 'ข้อมูลวงใน' ในการซื้อขายหุ้น ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่มีความผิดทางอาญาและจะยอมความกันไม่ได้

วันก่อนมีแฟนเพจ Club VI ท่านหนึ่งซึ่งเป็นนักลงทุนมือใหม่ถามผมว่า เพราะเหตุใด หุ้นตัวใหญ่ๆ บางตัวในตลาดหลักทรัพย์ไทย ราคาจึงมักจะวิ่งก่อนงบออก กล่าวคือ ถ้าหุ้นขึ้นเอาๆ ก่อนวันประกาศงบ ก็รู้ได้เลยว่างบออกมาดีแน่ แต่ถ้าหุ้นลงติดต่อกันหลายวัน แปลว่าไตรมาสนั้นงบจะแย่ เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่เคยผิด

ในที่นี้ ผมขอยกกรณีของ มาร์ธา สจ๊วร์ต หนึ่งในนักธุรกิจหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกามาเล่าสู่กันฟัง มาร์ธาเป็นเซเลบที่สร้างอาณาจักรสื่อขึ้นมาจนยิ่งใหญ่ บริษัทของเธอมีรายการโทรทัศน์หลายรายการ มีนิตยสาร ขายสินค้า รวมทั้งทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (คล้ายๆ เครืออมรินทร์ของไทย)

ในปี 2004 ชีวิตของมาร์ธาเดินทางมาถึงจุดพลิกผัน โดยเธอถูกศาลตัดสินจำคุกในข้อหาปกปิดหลักฐานและให้การเท็จ อันเนื่องมาจากการใช้ 'ข้อมูลวงใน' เพื่อขายหุ้นของบริษัทยา

ที่มาของเรื่องนี้คือ ในปี 2001 ผลิตภัณฑ์ยาหลักตัวหนึ่งของบริษัท 'แอมโคลน ซีสเต็มส์' ชื่อ 'เออร์บิทักซ์' ถูก FDA หรือองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ตัดสินไม่อนุมัติให้ใช้ โดยหลังจากข่าวนี้ประกาศออกไป หุ้นแอมโคลนก็ร่วงลงถึง 16% ในวันเดียว

ต่อมา กลต. ได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่า ผู้บริหารของแอมโคลนรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องหลายคนมีการขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากก่อนที่ข่าวจะถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวัน และหนึ่งในนั้นคือ 'โบรกเกอร์' ของมาร์ธา

ระหว่างการสอบสวน ผู้ช่วยของโบรกเกอร์คนนี้ให้การว่า นายของเขาสั่งให้กระซิบบอกมาร์ธาว่า CEO ของแอมโคลนกำลังเทขายหุ้น และมาร์ธาซึ่งมีหุ้นตัวนี้อยู่ก็ขายมันทิ้งทันทีในวันเดียวกัน

หลังสู้คดีอยู่นาน มาร์ธา สจ๊วร์ต ถูกศาลพิพากษาว่าผิดจริงและถูกลงโทษจำคุก โดยเธอต้องติดคุกอยู่ที่เรือนจำกลางในเวสต์ เวอร์จิเนีย ถึงห้าเดือน ก่อนจะถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านอีกห้าเดือน และรอลงอาญาอีกสองปี

นี่เป็นเรื่องที่ฮือฮาอย่างยิ่งในสหรัฐฯ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงเก่งที่เป็นขวัญใจแม่บ้านทั่วประเทศจะประสบชะตากรรมถึงขั้นเข้าคุก !!

กรณี 'มาร์ธาติดคุก' ได้กลายเป็นบทเรียนให้แก่สังคมว่า การใช้ 'ข้อมูลวงใน' ในการซื้อขายหุ้น ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่มีความผิดทางอาญาและจะยอมความกันไม่ได้ นี่ขนาดแค่ทำตามข่าวที่โบรกเกอร์บอก โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้บริหารและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัท แต่ด้วยการ 'พูดเท็จ' และ 'ปกปิดหลักฐาน' ยังต้องรับโทษทัณฑ์ถึงเพียงนี้

เทียบกับเมืองไทย เคยมีกรณีใหญ่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่ผู้บริหารระดับสูงใช้ข้อมูลอินไซด์เรื่องการเข้าซื้อกิจการเพื่อเก็บหุ้นล่วงหน้า โดยที่ตัวเองเป็นคนทำดีลนั้นแท้ๆ เรียกได้ว่า 'ผิดเต็มเปา' แต่สุดท้ายแค่คืนเงินแล้วก็จบ

ถ้ามีกรณีอย่างมาร์ธา สจ๊วร์ต ในไทยบ้างก็คงจะดี จะได้เข็ดหลาบ ไม่มี 'หุ้นวิ่งก่อนงบออก' ให้เห็นกันอีกต่อไป