ส่งเสริมทัวร์คุณภาพ ฟื้นฟูภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

ส่งเสริมทัวร์คุณภาพ ฟื้นฟูภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

การท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี 2560 ระบุว่า

ประเทศไทยมีรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 1,824 พันล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา ทัวร์ไร้คุณภาพ ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ คำถามคือ จะทำอย่างให้ประเทศไทยมีการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ

ในอดีตนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยมักมาจากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุด คือ นักท่องเที่ยวชาวจีน หลังจากที่ 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนอนุญาตให้คนจีนเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศได้เป็นครั้งแรก ส่งผลให้มีการเปิดบริษัททัวร์จำนวนมากรองรับนักท่องเที่ยวจีนโดยตรง มีการใช้ชื่อคนไทยจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ หรือนอมินีขึ้นมา และเกิดการนำเที่ยวแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งก็คือ บริษัททัวร์จีนขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวจีนในราคาต่ำ แล้วส่งลูกทัวร์ให้กับบริษัททัวร์ในไทย โดยลูกทัวร์ไม่ต้องจ่ายค่านำเที่ยว หากแต่ลูกทัวร์จะถูกบังคับพาไปซื้อของเฉพาะจากร้านค้าที่กำหนดในราคาสูง บังคับซื้อแพ็กเกจเสริมหรือดูโชว์ต่างๆ เพื่อบริษัททัวร์ไทยจะมีรายได้และกำไร ถ้านักท่องเที่ยวไม่ยอมซื้อสินค้าจากร้านที่กำหนด มักถูกบังคับข่มขู่ โดยการไม่ให้กุญแจห้องพัก ยึดพาสปอร์ต กระทั่งถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกปล่อยลอยแพตามที่เคยเป็นข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวจีน 33 คนถูกไกด์เถื่อนชาวจีนปล่อยทิ้งหลังจากนักท่องเที่ยวไม่ซื้อของ

การทำธุรกิจบริการท่องเที่ยวที่เน้นราคาต่ำ แม้จะเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นขายทัวร์ราคาถูกเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว แต่ก็นำมาซึ่งปัญหาการให้บริการที่ไม่ได้คุณภาพและมาตรฐาน เช่น การขนส่งผู้โดยสารไม่ปลอดภัย ดังกรณีเรือล่มใน จ.ภูเก็ต ไม่มีประกันอุบัติเหตุที่เพียงพอ ซึ่งกระทบต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวโดยตรง รวมถึงทำลายภาพลักษณ์ชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวของประเทศ

อันที่จริง ประเทศไทยมีการกำกับดูแลการทำธุรกิจนำเที่ยว โดยกรมการท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานคัดกรองคุณสมบัติ จดทะเบียนบริษัททัวร์ และจัดเก็บเงินค้ำประกันบริษัททัวร์ วงเงินประมาณ 10,000-200,000 บาท ตามประเภทธุรกิจนำเที่ยว เพื่อเข้ากองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว ซึ่งปัจจุบันกองทุนนี้มีวงเงินประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้เยียวยาความเสียหายแก่ลูกทัวร์กรณีเกิดการฉ้อโกงหรือไม่รับบริการตามที่ตกลงไว้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เมื่อปี 2558 มีวงเงินเริ่มต้น 200 ล้านบาท หลังเกิดเหตุระเบิดที่ แยกราชประสงค์ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

แต่ในความเป็นจริง หากเทียบกับความสูญเสียจากทัวร์ไร้คุณภาพกับการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการเยียวยาอาจยังไม่เพียงพอ ทางออกที่ดี คือ ควรยกระดับคุณภาพทัวร์ให้มีมาตรฐานคุณภาพเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยผู้เขียนมีข้อเสนอแนะดังนี้

ประการแรก สาเหตุทัวร์ไร้คุณภาพเกิดขึ้นมาได้ เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม เห็นได้จากการมีนอมินีในการจดทะเบียนบริษัท

จากการตรวจสอบโดยผู้เขียน พบว่า บริษัทนำเที่ยวขนาดใหญ่หลายรายมีรายได้หลัก 500 กว่าล้านบาทต่อปี แต่ไม่พบข้อมูลบริษัทปรากฏในอินเตอร์เน็ตเลย เมื่อเกิดปัญหานักท่องเที่ยวถูกฉ้อโกง ได้รับความเสียหายก็มักจะติดตามลงโทษได้เฉพาะนอมินีเท่านั้น จึงเสนอว่ารัฐควรมีระบบกำกับดูแลการจดทะเบียนบริษัททัวร์ที่เข้มงวด มีการคัดกรองตรวจสอบตรวจเช็คประวัติบริษัทนำเที่ยวว่ามีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ มีการตรวจสอบจับกุมและลงโทษบริษัทที่ใช้นอมินี

ประการที่สอง ควรมีข้อกำหนดให้บริษัทนำเที่ยวต้องเป็นสมาชิกของสมาคมการท่องเที่ยวที่ได้การรับรองตามกฎหมาย ซึ่งสมาคมนี้จะเป็นผู้รับรองการมีตัวตนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่สมาชิก แต่ทั้งนี้ต้องมีการกำกับดูแลไม่ให้สมาคมฯ ใช้อำนาจในการผูกขาดการรับรองสมาชิกในการแสวงหากำไรอันไม่ควร

ประการที่สาม เพื่อให้มีบริษัททัวร์ที่มีคุณภาพ รัฐควรกำหนดเงื่อนไขทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับบริษัททัวร์ดังเช่นญี่ปุ่น กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับบริษัททัวร์ระดับ Class 1 (ทัวร์ outbound) ไว้ที่ 30 ล้านเยน และควรมีข้อกำหนดอย่างสิงคโปร์ที่บริษัททัวร์จะต้องแจ้งบัญชีธนาคารย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทนั้นๆ มีความมั่นคงทางการเงินมากน้อยแค่ไหน

ประการที่สี่ เงินค้ำประกันความเสียหายที่มีจำนวนน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะบ่อยครั้งความเสียหายมีมูลค่าสูง เช่นล่าสุด กรณีเรือฟินิกซ์ พีซีไดฟ์วิ่ง ล่มที่ภูเก็ต คณะกรรมการบริหารกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 52 ราย เป็นเงินมากถึง 29 ล้านบาท รัฐควรพิจารณาปรับเพิ่มเงินค้ำประกันเยียวยาความเสียหายให้กับลูกทัวร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับขึ้น ดังที่ญี่ปุ่นกำหนดให้วางเงินประกันที่เป็น Operation bond และ Compensation bond สำหรับบริษัททัวร์ outbound ไว้ที่ 84 ล้านเยน

และประการสุดท้าย ควรกำหนดให้บริษัททัวร์ทุกรายต้องจัดให้มีผู้จัดการทัวร์ที่มีใบรับรองด้านการท่องเที่ยวทำหน้าที่วางแผนและบริหารจัดการการนำเที่ยวของบริษัทดังเช่นที่ญี่ปุ่นกำหนด เพื่อให้มีบริการที่มีคุณภาพและมีผู้รับผิดชอบจริงกรณีเกิดปัญหาในการนำเที่ยว

การท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่เป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีข้อมูลว่าปี 2559 สัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวต่อจีดีพีอยู่ที่ 17.64% และการท่องเที่ยวยังกระจายรายได้ไปสู่รากหญ้า รัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจท่องเที่ยวโดยมีนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก ดังนั้น การที่จะไปถึงจุดนั้นได้จำเป็นต้องมีการกำกับดูแลเพื่อให้มีบริษัททัวร์ที่ดีเป็นมืออาชีพ เพื่อนำไปสู่การให้บริการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพมากกว่าราคา

โดย... ขนิษฐา ปะกินำหัง