สิงคโปร์ รัฐประชาธิปไตยที่แท้

สิงคโปร์ รัฐประชาธิปไตยที่แท้

อย่าว่าแต่ประชาชนทั่วไปที่อาจสับสน แม้แต่นายอภิสิทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ก็ยังสับสน นึกว่าสิงคโปร์ เป็นประเทศเผด็จการ

ทั้งที่เป็นรัฐประชาธิปไตยที่แท้ แม้ในวงการอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ เขาก็ใช้หลักประชาธิปไตยเช่นกัน มาดูกัน

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปรายไว้ว่า ตนไม่แน่ใจว่าสิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ (https://bit.ly/2ldjVg5) นายอภิสิทธิ์พยายามบอกว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่เผด็จการสามารถทำให้เจริญได้จริงหรือไม่ ทั้งๆ ที่อันที่จริงสิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยเพราะไม่มีรัฐประหาร แต่มีการเลือกตั้งมาโดยตลอดโดยไม่มีการซื้อเสียง แต่ถ้า ลีกวนยู ทำรัฐประหารอ้างว่า ทำเพื่อชาติ คนสิงคโปร์คงลุกฮือแน่นอน

รัฐบาลสิงคโปร์ รักษาสิทธิประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ไม่ให้ถูกละเมิด ดังนั้นใครจะมาชุมนุม Shutdown สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นไม่ได้ เพื่อนผมซึ่งเคยเป็นคณบดีอยู่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอกว่า คนสิงคโปร์ที่ “ซุกซน” (Naughty) อยู่สิงคโปร์ลำบาก เพราะรัฐบาลไม่ยอมให้มีการประพฤตินอกลู่นอกทาง ทำสังคมปั่นป่วน การนี้ดูประหนึ่งว่ารัฐบาลสิงคโปร์เป็นเผด็จการ แต่ข้อนี้เป็นเพียงการรักษา กฎ กติกาของบ้านเมืองเช่นประเทศตะวันตกที่ให้เสรีภาพเต็มที่ ตราบเท่าที่ไม่ไปละเมิดต่อผู้อื่น เช่น เราจะนั่งกินเหล้า ตีเกราะเคาะไม้อยู่หน้าบ้านจนดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ได้ ตำรวจจะมาจับไปปรับ(ทัศนคติและเงิน) ในฐานที่ละเมิดต่อเพื่อนบ้าน สิงคโปร์และประเทศตะวันตกจึงเป็น Unhappy Paradise ส่วนไทยอาจถือเป็น Happy Hell (ทำอะไรได้ตามใจ (ถ้ามีเงิน) คือไทยแท้)

การปรับทัศนคติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอดีตชาวสิงคโปร์ขึ้นชื่อเรื่องการถ่มถุย แต่ก็กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว ผู้คนข้ามถนนก็ต้องรอสัญญาณไฟแดงโดยเคร่งครัด ผมจำได้ว่าในปี 2520 เมืองไทยยังมีตำรวจคอยตรวจจับการข้ามถนนนอกเขตทางม้าลาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว รณรงค์หมวกกันน็อกก็ผีเข้าผีออก กลายเป็นการรณรงค์แบบ “ไฟไหม้ฟาง” แต่สิงคโปร์กลับรณรงค์จน “สร้างนิสัย ไปแล้ว แม้แต่นักท่องเที่ยวยังต้อง หลิ่วตาตาม

หลายคนมองว่าสิงคโปร์เป็นเผด็จการ ลีกวนยู ก็พูดอะไรส่อไปทางนั้น เช่น บอกว่าคนไม่เท่ากัน เหมือนนิ้วมือของเราเอง แต่ความจริงแล้ว คนเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็มีสิทธิ-ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในสิงคโปร์ ก็มีการใช้กำลัง(กำปั้นเหล็ก) กระทั่งการโบยตี หรือประหารชีวิตนักโทษอย่างเฉียบขาดโดย (แทบ) ไม่มีการอภัยโทษ ติดคุกแป๊บเดียวก็ออกมา และจัดการกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย (กฎหมายที่เป็นธรรม) อย่างเฉียบขาด จะให้ใครมาชุมนุมทางการเมืองอย่างยืดเยื้อทำลายเศรษฐกิจของชาติไม่ได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรจัดจุดชุมนุมทางการเมืองให้ คือ Speakers' Corner ไม่ใช่ชุมนุมกันสะเปะสะปะเช่นในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี สิงคโปร์ก็ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีจนไร้ที่ติ มีการคุมขังบุคคลหนึ่งชื่อนาย Chia Thye Poh นานถึง 32 ปี โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และยังมีประชาชนถูกจับกุมคุมขังทำนองนี้อยู่อีกราว 36 คน

สิงคโปร์ถูกจัดอยู่ในอันดับท้ายๆ ของโลกในด้านการให้เสรีภาพของสื่อ ทั้งนี้เพียงเพราะสื่อไม่สามารถลงข่าวยั่วยุทางการเมือง หรือประเด็นแหลมคมเรื่องศาสนา เรื่องเพศ ส่วนที่อ้างว่าสื่อไม่มีเสรีภาพนั้น เขาคุมไม่ให้สื่อยั่วยุต่างหาก สื่อยังมีเสรีภาพเต็มที่ เช่น ครั้งหนึ่งลีกวนยู และครอบครัวแค่ซื้อห้องชุดสุดหรูใจกลางเมืองโดยได้ส่วนลด 5-12% ก็ถูกสื่อถล่มหนัก (https://bit.ly/2NwlOnB แต่ไม่ได้ด่าหยาบคายเช่นสื่อไทย)

ในแง่เสรีภาพในการอยู่อาศัย บางคนบอกสิงคโปร์ไม่มีเสรีภาพกระทั่งการเลือกที่อยู่ของตนเอง โดยคนสิงคโปร์มีเชื้อชาติหลักคือจีน (74%) มาเลย์ (13%) และอินเดีย (9%) ในการอยู่อาศัยในแต่ละอาคารนั้น จะต้องมีสัดส่วนผู้อยู่อาศัยที่ใกล้เคียงกันตามนี้ จะไม่ให้มีตึกหรือชั้นในตึกที่อยู่เฉพาะคนจีน หรือคนมุสลิมอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการแบ่งแยก มั่วสุมและการก่อการร้าย กรณีนี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ในสิงคโปร์มีกระบวนการหนึ่งคือ Enbloc Sale (https://bit.ly/2wXqgCq) คือโครงการอาคารชุดเก่า ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี หากเจ้าของห้องชุด 80% ต้องการจะขาย ก็สามารถขายได้ โดยมีนักพัฒนาที่ดินยินดีซื้อตึกมาทุบทิ้งเพื่อขึ้นโครงการใหม่ ผู้อยู่อาศัยเดิมจะได้รับเงินชดเชยโดยมากจะได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50% เช่น ถ้าห้องชุดในโครงการนั้นปกติขายราคา 10 ล้านบาท ก็จะมีนักพัฒนาที่ดินมาซื้อเป็นเงิน 15 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ขายได้กำไร จูงใจให้ขายนั้นเอง

ถ้าคนส่วนใหญ่ 80% ต้องการจะขาย คนอีก 20% ก็ต้องยอมตามด้วย ตามทำนอง "เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง เสียงส่วนน้อยที่ไม่ยอมขาย อาจอ้างว่า "เจ้าคุณปู่สั่งไว้ ให้อยู่ที่นี่ ตายที่นี่" เรื่องทางจิตใจอย่างนี้ รับฟังไม่ได้ จะยกมาอ้างเพื่อ "ยืนกระต่ายขายเดียว" ไม่ได้ ประชาชนส่วนน้อย 20% สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลได้ แต่ศาลก็จะสั่งให้จ่ายค่าทดแทนให้สมน้ำสมเนื้อ ให้ไปอยู่ดี สิงคโปร์จึงไม่ใช่ประเทศที่ปล่อยให้เสียงส่วนน้อยที่เป็น อภิชน มากดขี่เสียงส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด และในกรณีขายอาคารชุดแบบ Enbloc นี้ ก็ไม่ใช่การบีฑาคนส่วนน้อย เพราะต่างก็ได้ผลตอบแทนสูงถึงราว 50% ของมูลค่าตลาดนั่นเอง

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง สิงคโปร์ได้รับการพิสูจน์ชัดว่าเป็นประเทศที่แทบจะไร้ทุจริต มีความโปร่งใสติดอันดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ความสุจริตเกิดขึ้นได้ในสมัยประชาธิปไตยที่โปร่งใสเท่านั้น ไม่อาจเกิดขึ้นในยุคเผด็จการอย่างเด็ดขาด การพัฒนาที่ดินในประเทศสิงคโปร์ ไม่ต้องจ่ายเงินให้คณะกรรมการจัดสรรที่ดิน กรมที่ดิน เทศบาลท้องถิ่น การประปา การไฟฟ้า การออกบ้านเลขที่ การเปิดใช้อาคารในสิงคโปร์ ฯลฯ ที่เป็นแบบนี้เพราะ “หัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก” นั่นเอง

 ถ้ามีประชาธิปไตย ประชาชนก็มีสิทธิมีเสียง มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจชาติ