From “FANG” to “WANG”

From “FANG” to “WANG”

อย่างที่ทราบกันดี หุ้นกลุ่ม IT ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าร้อนแรงจนฉุดไม่อยู่ โดยเฉพาะหุ้น IT 4 ยักษ์ใหญ่อย่าง “FANG”

ซึ่งประกอบไปด้วย Facebook Amazon Netflix และ Google (หรือ Alphabet) ที่สร้างผลตอบแทนสะสมในเวลา 5 ปี สูงถึง 267%, 549%, 709% และ 163% ตามลำดับ เทียบกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้นมาที่ 71% จึงเป็นอันแน่นอนว่าทำไมหุ้น FANG จึงเป็นหุ้นที่นักลงทุนทั่วโลกต้องมี มิเช่นนั้นจะถือว่าตกรถ โดยในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายหุ้น FANG มีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 47 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือราว 8% ของการซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

แต่สถานการณ์เริ่มน่าเป็นห่วงมากขึ้นหลังหุ้น FANG เผชิญมรสุมถาโถมและถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะ Facebook ที่ปรับตัวลงกว่า 24.5% จากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ระลอกแรก Facebook เจอข่าวฉาวที่ Cambridge Analytica ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจาก Facebook เอื้อประโยชน์ทางการเมืองแก่ ปธน.ทรัมป์ ต่อมาระลอกสองจากการประกาศผลงานไตรมาส 2 ปี 2018 ซึ่งแม้ว่ากำไรจะเติบโต 31% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด การเติบโตของผู้ใช้งานก็เพิ่มขึ้นเพียง 11% ต่ำกว่าคาดเช่นกัน นอกจากนี้ กำไรของ Facebook อาจลดลงในอนาคตจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน

ข้ามมาที่ Netflix ที่สถานการณ์ดูสั่นคลอนไม่แพ้กัน โดยติดลบกว่า 16.8% หลังยอดผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 5.2 ล้านคนในไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 6.2 ล้านคน รวมถึงความเสี่ยงที่คู่แข่งเข้ามารุกธุรกิจออนไลน์สตรีมมิ่งมากขึ้นจนอาจทำให้ส่วนแบ่งการตลาด Netflix ลดลง

ในส่วน Google ยังทรงตัวดี แต่อาจถูกกดดันในระยะสั้นจากแรงเทขายหุ้น IT แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดูดี โดยรายได้ไตรมาส 2 ขยายตัวดี 26% มีแรงหนุนจากทั้งรายได้โฆษณาและรายได้อื่น

ความหวังทั้งหมดที่จะทำให้หุ้น IT ของสหรัฐฯ ยังอยู่ในตลาดกระทิงตกมาอยู่ที่ Amazonล่าสุดต้นเดือนที่ผ่านมา มูลค่าตลาด หรือ Market Cap ของ Amazon แตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่ 2 ของสหรัฐฯ ตามหลัง Apple มาติดๆ ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Amazon ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยกำไรระดับ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ทำให้หนทางยังสดใสในฐานะผู้นำตลาดออนไลน์ E-Commerce อันดับ 1 ของโลก จากความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านชื่อเสียงและระบบโลจิสติกส์ที่ยากจะต่อกร อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยรายได้หลักของ Amazon มาจากการบริโภคในสหรัฐฯ เอง (ปี 2017 รายได้กว่า 60% มาจากสหรัฐฯ) ดังนั้น ความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งผลทางตรงต่อบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามสำคัญคือ เรายังควรลงทุนใน FANG ต่อ หรือหลบออกมาก่อน ไม่นานมานี้ คุณจิม แครมเมอร์ อดีตผู้จัดการกองทุน Hedged Fund และพิธีกรรายการชื่อดังทางช่อง CNBC อย่าง Squawk On The Street และ Mad Money ซึ่งเป็นผู้บัญญัติศัพท์หุ้นกลุ่ม FANG เริ่มออกมาพูดถึงหุ้นกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนหุ้นกลุ่ม FANG นั่นก็คือ หุ้นกลุ่ม “WANG” ซึ่งประกอบไปด้วย Walmart Apple Netflix และ Google ทั้งนี้ Walmart มีผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่งมาก โดยยอดขายสาขาเดิมขยายตัว 4.5% สูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ Walmart ยังหันมารุกตลาดออนไลน์อย่างหนัก ขณะที่หุ้น Apple ที่เร่งตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่ในเดือนกันยายน หลังจากรายได้แตะ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาด แต่มุมมองในอนาคตของหุ้น Apple ยังคงมีความเสี่ยงที่อาจตกเป็นเป้าท่ามกลางข้อพิพาทการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ เพราะ Apple มีฐานการผลิตที่สำคัญในจีน นอกจากนี้ ราคาของสินค้า Apple ที่สูงขึ้น บวกกับค่าเงินในประเทศเกิดใหม่ที่อ่อนลง อาจส่งผลให้ยอดขายนอกประเทศหดตัวในอนาคต (Apple มีรายได้จากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ประมาณ 30% ของรายได้ปี 2017)

นักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มกังวลถึงราคาที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูงควรเริ่มขยับออกจากหุ้นเติบโต (Growth Stock) อย่าง IT ไปที่หุ้นคุณค่า (Value Stock) มากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองที่น่าสนใจขึ้นของหุ้น Walmart ซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ Late Cycle มีโอกาสที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะชะลอลงจากเศรษฐกิจที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึงผลบวกจากการลดภาษีนิติบุคคลจะเริ่มหายไปในปีหน้า หุ้นคุณค่าที่ราคาตลาดตํ่ากว่ามูลค่าที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า