ในความแตกต่างที่เหมือนกัน (โดยธรรม) !!

ในความแตกต่างที่เหมือนกัน (โดยธรรม) !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวว่า บัณฑิตดุจห้วงน้ำลึก ใส สะอาด สงบ โดยเฉพาะเมื่อฟังธรรม ..

บัณฑิตจะเคารพธรรม เมื่อต้องแสดงธรรมให้บัณฑิตฟัง จึงไม่ลำบากใจ เท่ากับการแสดงให้คนหนาปัญญาหยาบฟัง

การแสดงธรรมให้คนสองจำพวกจึงมีความแตกต่างกันมาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรับหน้าที่ต้องเป็นผู้แสดงธรรม .. บรรยายธรรม ก็ต้องทำหน้าที่ให้สมฐานะ สมค่าพระวิปัสสนาจารย์

เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับนิมนต์จากกระทรวงยุติธรรม ไปทำหน้าที่ให้การอบรมสั่งสอนผู้ต้องขัง (ผตข.) ที่เรือนจำจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำตัวอย่างในโครงการกำลังใจตามพระดำริในพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ...การไปทำหน้าที่ในครั้งนั้นได้รู้ได้เห็นถึงการพัฒนาของเรือนจำจันทบุรี ในวิสัยทัศน์ของ ผบ.เรือนจำฯ และคณะทำงาน ตลอดจนแนวนโยบายสร้างสรรค์สังคมด้วยธรรมของผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี จึงไม่แปลกใจว่า ทำไม สำนักงานกิจการพิเศษในโครงการพระราชดำริฯ ของกระทรวงยุติธรรม จึงได้เลือกเรือนจำจังหวัดจันทบุรีเป็นเรือนจำนำร่องของโครงการพัชรธรรม (ในโครงการกำลังใจฯ)

การได้พบปะผู้ต้องขังในเขตแดนต่างๆ ในเรือนจำ และการได้มีโอกาสพูดคุยสนทนาธรรมและบรรยายธรรมให้กับผู้ต้องขังที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการพัชรธรรม (ในโครงการกำลังใจฯ) ในวันนั้น นับว่ามีคุณค่ายิ่ง ไม่แตกต่างจากการสั่งสอนให้ธรรมะกับบุคคลภายนอก การฟังธรรมด้วยความเคารพเกิดขึ้นในเรือนจำแห่งนี้ อย่างน่าอนุโมทนา .. โดยเฉพาะการได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนที่บรรยายไปด้วยความเมตตาอย่างสร้างสรรค์ จึงได้เห็นภาพการปฏิบัติธรรมด้วยความพร้อมเพรียง อันเป็นไปตามแบบแผนการเจริญสติปัฏฐานสี่ทุกประการ

ภาพของผู้ต้องขังในโครงการกำลังใจตามแผนงานพัชรธรรมในวันนั้น จึงเป็นภาพเดียวกับสาธุชนผู้มาประพฤติธรรมปกติตามวัดวาอารามทั้งหลาย ทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่า “เรายกเรือนธรรม .. มาไว้ในเรือนจำ” และเมื่อบวกกับการที่ ผู้ให้ ผู้รับ ปรับคลื่นจิตตรงกัน กระบวนการให้ธรรมถูกต้องเหมาะสม การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเกิดขึ้น จึงนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามความประสงค์ทุกประการ ดังที่อาตมาเพิ่งได้รับจดหมายที่เขียนจากใจของผู้ต้องขังเหล่านี้ ที่ได้ขอบคุณต่อโครงการพัชรธรรม (ในโครงการกำลังใจตามพระดำริฯ)

เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ที่ผ่านมา อาตมาได้รับนิมนต์ไปบรรยายธรรมให้กับผู้พิพากษา ที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้พิพากษาหัวหน้าศาลรุ่นที่ ๑๗ ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม อีกครั้ง โดยการไปบรรยายในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรก ด้วยการปรับระดับธรรมให้พอเหมาะกับผู้ฟัง เพื่อการปลูกฝังความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องตรงธรรมให้กับผู้พิพากษาทุกคนที่จะต้องไปรับหน้าที่บริหารงานในศาลยุติธรรมด้วยภาวะการเป็นผู้นำ ซึ่งหมายถึง จะต้องมีภาวะจิตสำนึก (อุดมคติ) ที่ต้องมีคุณธรรมที่พึงประสงค์ของการทำหน้าที่นักบริหาร..

นักบริหารที่ดีในฐานะตุลาการของแผ่นดิน จะต้องถือธรรมเป็นใหญ่ จึงต้องเป็นผู้รู้ธรรม .. เพื่อการสร้างภาวะผู้นำที่มีคุณธรรม เพื่อการบริหารงานตามหลักธรรมาธิปไตย..

การบรรยายธรรมในครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นการรู้จักพัฒนาจิตใจให้มี “สังวรธรรม” ด้วยการเจริญจิตภาวนาควบคู่ไปกับธรรมบรรยาย ด้วยหวังว่า ผู้พิพากษาทุกท่านที่เข้ารับการอบรม จะได้รู้ธรรม .. เป็นธรรม และมีธรรมในจิตใจ... เพื่อการสร้างธรรมให้กับประชาชนและประเทศชาติ

ด้วยบรรยากาศที่คล้ายคลึงกัน ในการเคารพธรรม ปฏิบัติธรรม แม้จะแตกต่างกันตามฐานะ .. จึงให้หวนนึกถึงบรรดาผู้ต้องขังในโครงการพัชรธรรม.. ที่สามารถปฏิบัติธรรม สร้างจิตสำนึกผู้มีธรรมได้เช่นเดียวกับสาธุชนทุกท่าน.....

 

  เจริญพร

[email protected]