สิ่งที่ฟินเทคจะมา Disrupt ธุรกิจการลงทุน

สิ่งที่ฟินเทคจะมา Disrupt ธุรกิจการลงทุน

แนวโน้มของธุรกิจให้บริการลงทุนกำลังจะเปลี่ยนแปลง

หลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวที่ว่าเทคโนโลยีการเงินหรือฟินเทคจะเข้ามาแทนที่ (Disrupt) ธุรกิจการเงินโดยเฉพาะภาคการธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินชำระเงินรวมถึงการปล่อยกู้แบบ P2P Lending แต่อีกมุมหนึ่งฟินเทคก็มีโอกาสจะเข้ามา Disrupt อุตสาหกรรมการลงทุนเช่นกัน 

ICO จะมาแทนที่การระดมทุนรูปแบบเก่า การระดมทุนรูปแบบเก่าไม่ว่าจะเป็นการทำ IPO, การขายหุ้นเพิ่มทุน ต่างมีผลทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมต้องเสียสัดส่วนการถือหุ้นไป แต่การทำ ICO ผู้ระดมทุนจะได้รับเงินลงทุนโดยไม่เสียหุ้นไป ขณะที่ผู้ลงทุนได้รับหุ้นสามัญไปซื้อขายในกระดานเพียงอย่างเดียวโดยได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาและเงินปันผล แต่การทำ ICO ที่เป็นUtilities Token นอกจากส่วนต่างกำไรในกระดานแล้วจะได้รับสิทธิในการใช้บริการด้วย ทำให้วิธีการระดมทุนมีความหลากหลายมากขึ้น

Blockchain อาจทำให้ไม่มีธุรกิจโบรกเกอร์ ทุกวันนี้โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งผู้บริการแต่ละรายมีความแตกต่างในเรื่องการบริการที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่การนำ Blockchain มาใช้อาจทำให้ธุรกิจตัวกลางถูกตัดออกไป ผู้ลงทุนสามารถเข้าไปซื้อขายหุ้นได้โดยตรงกับเจ้าของหุ้น ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง 

Social Trade จะมารบกวนธุรกิจกองทุนรวม ปัจจุบันนี้กองทุนรวมประเภท Equity Fund มีกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่หลากหลายมากนักและสร้างผลตอบแทนได้ไม่ต่างกันมากนักโดยยังเน้นเอาชนะผลตอบแทน Index แต่การมาของ Social Trade จะทำให้เทรดเดอร์อิสระมีโอกาสในการแสดงผลงานของตัวเองทั้งในรูปแบบผลตอบแทนและความสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนจะมีโอกาสลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม Social Trade ได้ทั้งรูปแบบ Copy Trade หรือซื้อขายด้วยตัวเองตามสัญญาณที่แสดงหรือ Copy Fund ที่ลงทุนแทนให้อัตโนมัติ 

ยุคของ Open Architecture แนวโน้มของธุรกิจให้บริการลงทุนกำลังจะเปลี่ยนแปลงจากยุคที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งเน้นขายโปรดักต์การลงทุนของตัวเองมาเป็นการขายโปรดักต์ที่มีความเป็นกลางไม่ยึดติดกับค่าย โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นหลัก จึงเป็นโอกาสที่ฟินเทคด้านWealth Management จะก้าวขึ้นมาแทนที่เพราะโครงสร้างที่เป็นกลางในด้านการขายผลิตภัณฑ์ 

Robo Advisor ที่จะเจาะฐานรากหญ้า ทั่วไปแล้วบริการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) จะจำกัดเฉพาะผู้ที่มีสินทรัพย์จำนวนมากเท่านั้นเพราะจำเป็นต้องใช้แรงงานคนในการให้บริการ แต่ถ้านำเทคโนโลยีมาใช้ให้คำปรึกษาแทน โอกาสที่จะขยายการให้บริการในวงกว้างด้วยออนไลน์และใช้เงินลงทุนน้อยลงจะทำให้คนไทยทุกระดับสามารถเข้าถึงการลงทุนได้

ปัจจุบันคนไทยยังเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้นได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีรายได้เสียภาษีจำนวน 18 ล้านคนแต่มีการเข้าถึงกองทุนรวมเพียง 5 ล้านบัญชี ไม่นับบัญชีซื้อขายหุ้นที่มีเพียงหลักแสน หากมีการนำเทคโนโลยีฟินเทคเข้ามาช่วย คนไทยจะมีโอกาสเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น ด้วยแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น ถึงอย่างไรฟินเทคน่าจะเข้ามา Disrupt ธุรกิจการลงทุนแบบเดิมได้ไม่มากก็น้อย