รูปแบบสื่อคือคำตอบ

รูปแบบสื่อคือคำตอบ

อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างเกินกว่าที่จะบรรยาย ในขั้นพื้นฐาน มันทำให้ผู้คนสามารถสื่อสารถึงกันได้หลากหลายวิธี

แต่ไม่ใช่หนึ่งต่อหนึ่งดังเก่าก่อน เช่นส่งจดหมายถึงกันหรือโทรศัพท์ถึงกัน หากสื่อสารจากคนหนึ่งถึงหลายคนได้ เช่น การโพสต์ลงFacebook / Instagram / Line Group ฯลฯ โลกที่เปลี่ยนแปลงใหม่เช่นนี้มีบางแง่มุมให้ขบคิด

ในค.ศ. 1967 นักวิชาการด้านสื่อสารชาวคานาดา ชื่อ Marshall McLuhan ได้กล่าวไว้สั้นๆ เมื่อตอนเกิดการปฏิวัติสื่อครั้งสำคัญของยุคนั้น คือเปลี่ยนจากจากสิ่งพิมพ์สู่โทรทัศน์ว่า“(รูปแบบ) สื่อนั่นแหละ คือข้อความ(สิ่งสำคัญ)” (The medium is the message.) ที่น่าแปลกใจก็คือ ข้อความดังกล่าวก็ยังคงเป็นจริงอยู่ในวันนี้

ข้อความนี้มิได้หมายความว่าสื่อ(บอร์ดติดข่าวแบบจีนสมัยก่อนการแจกใบปลิว วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ)มีความสำคัญมากกว่าข้อความ หากหมายความว่า ข้อความมิได้มีความสำคัญเพราะสื่อสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา ตลอดจนวิธีคิดและการดำเนินชีวิตด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ สื่อมีความสำคัญไม่ใช่เพราะเนื้อหา แต่เพราะมันเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน ตัวอย่างเช่นโทรทัศน์มีเนื้อหาเข้มข้นรายงานสดอย่างรวดเร็ว แต่โทรทัศน์มิได้มีความสำคัญเพราะคุณภาพหรือปริมาณของเนื้อหา หากแต่ว่าเพราะโทรทัศน์เปลี่ยนวิถีชีวิตให้แตกต่างไปจากการเคยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อมีโทรทัศน์ก็เสพข่าวสารโดยเป็นนักวิ่งจากเก้าอี้ถึงตู้เย็นระหว่างโฆษณา ซึ่งต่างไปจากการอ่านหนังสือพิมพ์ซึ่งมิได้ทำให้เป็นนักกีฬาวิ่งแข่งเวลา

McLuhan ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจมาก เมื่อข้อความเปลี่ยนเราอาจเปลี่ยนใจได้ แต่ถ้าสื่อเปลี่ยนรูปแบบมันเปลี่ยนพฤติกรรมของเราไปเลย การโฆษณาหรือข่าวอาจทำให้เราเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อบางสิ่ง แต่ถ้าสื่อเปลี่ยนรูปแบบแล้วมันเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมดเลยทีเดียวดังเช่นตัวอย่างหนังสือพิมพ์สู่โทรทัศน์

เมื่อหันมามองปัจจุบัน คำกล่าวของ McLuhan ก็ก้องหู การใช้สมาร์ทโฟนผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้เราไม่นั่งดูโทรทัศน์ร่วมกันเป็นครอบครัวดังที่เคยเป็นมา อย่างน้อยก็ 1 ถึง 2 ชั่วคน แต่กลายเป็นต่างคนต่างดูจอสมาร์ทโฟนของแต่ละคน ดูรายการและรับข่าวสารตามรสนิยมของตน

เมื่อครอบครัวหรือคู่หนุ่มสาวไปรับประทานอาหารกันนอกบ้าน ต่างคนก็ต่างมี คนละจอ ต่างคนต่างดู ต่างคนต่างกดส่งข้อความถึงคนอื่นที่อยู่ไกลออกไป โดยพูดจากับคนนั่งโต๊ะเดียวกันน้อยลงจนเหมือนคนแปลกหน้ามานั่งร่วมโต๊ะกัน นี่แหละ“(รูปแบบ)สื่อคือคำตอบ”

ในโลกปัจจุบันเราพูดได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เราอ่านในสมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนพฤติกรรมของเรา หากการอ่านสมาร์ทโฟน(ทุกๆ 15นาที)ต่างหากคือตัวการของการเปลี่ยนพฤติกรรมของเราตัวอย่างเช่นการอ่านพบว่าการบริโภคใบมะกรูดมีผลดีต่อสุขภาพ อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของเราบ้าง แต่นิสัยการอ่านสมาร์ท โฟนคือตัวเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง

ขอกลับมาเรื่องการสื่อสารออนไลน์สมัยใหม่ที่เป็น“หนึ่งไปถึงหลายคน” ลักษณะหนึ่งที่สำคัญก็คือเป็น “การนำเสนอตนเอง” (self-presentation) กล่าวคือต้องการให้คนอื่นเห็นด้านดีของเรา คนจำนวนมากโพสต์รูปตัวเองที่งดงาม(มักแตกต่างจากความจริงไปมากในเกือบทุกกรณี) อาหารที่เห็นแล้วน้ำลายไหลการท่องเที่ยวในต่างประเทศที่สมบูรณ์แบบ งานเลี้ยงเลิศหรู รถยนต์ราคาแพง ฯลฯ

สิ่งที่เขาเหล่านี้ต้องการก็คือ การให้คนอื่นเห็นเขา(หลักฐานก็คือ“like” “share”) แต่ในขณะเดียวกันตัวเองก็เห็นชีวิตที่แสนสมบูรณ์แบบของเพื่อนๆ อีกเช่นกัน(มีคนกด“like”และ“share”มากมาย) โดยเราไม่ได้“ไปถึง”อย่างเขา จึงมักเกิดปรากฏการณ์ดังที่นักจิตวิทยาเรียกว่าFear of Mission Out (FoMo) ซึ่งเป็นความรู้สึกไม่สบายใจที่คนอื่นๆ มีมากกว่าหรือทำอย่างอื่นมากกว่าโดยที่ตนเอง หลุดโอกาส

ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ทำให้เกิดความสุขจะเรียกว่า ริษยาก็ไม่เชิง มันเป็นความรู้สึกกลัวเกรงลึกๆว่าตนเองจะ“หลุดโอกาส”ไม่ได้มีหรือเป็นเช่นเขาอื่นๆ(มันไม่ใช่การ“หลุดไป”จริงๆ หากเป็นความรู้สึกของความกลัว“การหลุด” ดังนั้น สมาร์ทโฟนจึงไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุด เพราะมันเป็นตัวเร่ง FoMo และทำให้ทุกข์ใจในบางครั้งเมื่อเช็คสมาร์ทโฟนแล้วคนอื่นไม่เห็นตนเองมากดังที่ต้องการ แถมยังรู้สึกว่าตนเองหลุดโอกาสไปอีกด้วย

จากการสำรวจพบว่าคนอายุต่ำกว่า35ปีรู้สึกทนทุกข์กับFoMoมากว่าคนวัยอื่นและผู้ชายทนทุกข์มากกว่าผู้หญิง วัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ คนมีความทุกข์มากกว่าคนที่มีความสุข

เวลาผ่านไป 50 ปี ข้อสังเกตของ McLuhan ก็ยังเป็นจริง “(รูปแบบ)สื่อนั่นแหละคือข้อความ(สิ่งสำคัญ)” ใครที่มีพฤติกรรมหลงใหลสมาร์ทโฟนชนิดที่เช็คทุก 15 นาที โดยแท้จริงแล้วกำลังวุ่นวายกับการนำเสนอตัวเองว่า จะมีใครเห็นมากน้อยเพียงใดและมีความกังวลในเรื่อง“การหลุด”

Rene Descartes (ค.ศ. 1596-1650) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสโด่งดังด้วยประโยคภาษาละตินที่ว่าCogito ergo sum (I think, therefore I am) แต่ว่าในปัจจุบันได้กลายเป็น Others are thinking of me, therefore I am. (อ้างคำพูดของPeter Sloterdijk นักปรัชญาชาวเยอรมัน วัย 71 ปี(ค.ศ.1947-ปัจจุบัน))