ลงทุนอย่างไรในช่วงตลาดผันผวน

ลงทุนอย่างไรในช่วงตลาดผันผวน

หลังจากที่ SET Index มีการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในเดือนมิถุนายน โดยปรับลดลงจากระดับ 1738.7 จุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายน

มาอยู่ต่ำสุดที่ 1595.6 จุดในช่วงปลายเดือน ถือเป็นการปรับลดลงกว่า 140 จุด หรือ 8.2% อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นหลายตัวในตลาด ที่ในอดีตเคยเป็นขวัญใจของกลุ่มนักลงทุนและราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มถูกขายจนทำให้ราคาลดลงกว่าครึ่งในเวลาอันรวดเร็ว ในยามที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและท้าทาย ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เพราะการเติบโตของกำไรจะเป็นตัวหนุนราคาหุ้นนั่นเอง

หุ้นในกลุ่มที่แนวโน้มกำไรยังเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2/2018 ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ กำไรน่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้จะมีชะลอตัวลงบ้างเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 เนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาล โดยแรงหนุนการเติบโตของกำไรของกลุ่มพาณิชย์ ได้แก่ การที่ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าที่มีส่วนต่างของกำไรสูงได้เพิ่มขึ้น การควบคุมต้นทุนขององค์กร การขยายสาขา และการหารายได้เสริม เช่น การให้เช่าพื้นที่ร้านค้า เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นในกลุ่มนี้ยังได้อานิสงค์จากเทศกาลฟุตบอลโลก ที่กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย

หุ้นในกลุ่มขนส่ง ยังคงมีแนวโน้มผลประกอบการดีในไตรมาสที่ 2 เช่นกัน ซึ่งลักษณะของธุรกิจในกลุ่มนี้มีความผันผวนน้อย และเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป รายได้จะค่อยๆเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสาร และการขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้า ซึ่งมีแผนที่จะขยายเพิ่มอีกมากในช่วง 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีรายได้อีกส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจสื่อโฆษณาที่มีการขยายตัวตามการเปิดเส้นทางเดินรถใหม่ ๆ ด้วย เช่นเดียวกัน หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีแนวโน้มที่กำไรจะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้วและเทียบกับไตรมาสที่ 1 เนื่องจากรายได้ก่อสร้างเข้ามามากขึ้น ส่วนต่างกำไรสูงขึ้น และภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการ Refinance ของหลายผู้ประกอบการ ถึงแม้ว่ากำไรของหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อนข้างมีความผันผวนตามแผนการก่อสร้างและการประมูลงาน แต่ในระยะยาว หุ้นในกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตดี จากแผนการเปิดประมูลงานภาครัฐที่ออกมาต่อเนื่อง ถึงแม้ในครึ่งปีแรกของปี 2018 จะมีการประมูลล่าช้า แต่คาดว่าภายในครึ่งปีหลัง น่าจะมีงานประมูลออกมาอย่างน้อย 1.7 แสนล้านบาท และหากโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีนเปิดประมูลได้ตามแผน มูลค่างานประมูลทั้งหมดในปีนี้จะสูงถึง 4 แสนล้านบาท สูงกว่าในปี 2017 มากที่ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

สำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีนั้น ผลการดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มนี้ค่อนข้างมีความผันผวนสูง โดยนอกจากราคาน้ำมันที่นักลงทุนต้องติดตามใกล้ชิดแล้ว ปัจจัยภายนอกเช่น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ก็มีผลมากต่อกำไรสุทธิของบริษัท ทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงตามไปด้วย

ส่วนกลุ่มที่แนวโน้มกำไรไม่สดใสนัก ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่นอกจากจะมีแรงกดดันให้อาจถูกตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ IFRS9 แล้วนั้น การประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมออนไลน์ยังรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของธนาคารหายไป และยังทำให้จำนวนลูกค้าที่เดินเข้าสาขาธนาคารน้อยลง ธนาคารจึงมีแนวโน้มที่จะขายผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่น ประกันชีวิต หรือกองทุน ได้ยากขึ้น แม้ว่าในระยะยาว ต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารจะลดลง แต่ในระยะอันใกล้ ธนาคารพาณิชย์ยังต้องใช้งบลงทุนในระบบไอทีอีกมาก สำหรับการปรับปรุงระบบเพื่อรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้เองจะเป็นตัวกดดันกำไรของธนาคารพาณิชย์ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

ในภาพรวมนั้น กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยยังเติบโตได้ดี โดยคาดการณ์กำไรสุทธิรวมจะเติบได้ 8 – 10% ในปี 2018 และเติบโต 6 – 8% ในปี 2019 อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังโตต่อเนื่อง หนุนโดยตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 ที่เติบโตสูงถึง 4.8% สูงกว่าคาดที่ 4% ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยทั้งปี น่าจะเติบโตเกิน 4.4% นอกจากนี้ หลังเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ภายในครึ่งปีแรกของปี 2019 ทำให้ความเสี่ยงทางด้านการเมืองลดลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากต่างประเทศยังเป็นตัวกดดันตลาด โดยเฉพาะประเด็นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าบทสรุปของการเจรจาจะเป็นไปในทิศทางใด ทำให้ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะยังคงผันผวน หากการเจรจาพัฒนาไปในเชิงบวก ก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่หากสหรัฐอเมริกาและจีนไม่อาจเจรจาประนีประนอมกันได้ ในกรณีนี้ก็อาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในระยะสั้น และส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะกลางถึงระยะยาว

ดังนั้น หุ้นกลุ่มที่นักลงทุนควรเลือกลงทุนคือ หุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีแนวโน้มของกำไรสุทธิเติบโตดี มีความผันผวนของกำไรน้อย มีอัตราเงินปันผลในระดับสูง และมีค่า พีอี ต่ำ เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน ทางด่วน เป็นต้น โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรผันผวนและค่าพีอีสูง เพราะหุ้นในกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นกลุ่มที่โดนขายทำกำไรเป็นกลุ่มแรก เมื่อไรก็ตามที่ตลาดเริ่มขาดความเชื่อมั่นอย่างเช่นในปัจจุบัน