ประเทศของเรา เรามีวิธีการของเรา

ประเทศของเรา เรามีวิธีการของเรา

พระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 มีมากมายดังคำเล่าของนักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ครั้งหนึ่งได้มีการนำผลงานของพระองค์

เก็บรักษาภายในหอสมุดแห่งชาติ ต้องใช้เกือบทั้งชั้นของอาคารมหาวิชรานุสรณ์ ด้วยพระอวค์ได้ทรงประพันธ์บทละครและมีการแปลเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น คือ บทละครของ วิลเลียม เช็กเปียรส์ เรื่อง “ตามใจท่าน ( As you like it )” แม้จะเป็นบทละครที่เป็นเรื่องราวความรักมิตรภาพและความเอื้ออาทรต่อกัน แต่ถ้ากล่าวถึงชื่อเรื่อง จะแปลแบบคนสมัยปัจจุบันขอบพูดกันน่าจะตรงกับวลีที่ว่า “เอาที่ท่านสบายใจเถิด” สาเหตุที่หยิบยกประเด็นเรื่องความพึงพอใจ เป็นที่สมปรารถนาของคนเรามาพูดถึงในที่นี้เป็นเพราะเหตุผลที่มีปรากฎการณ์หลายอย่างในสังคมไทยเวลานี้ที่เพ่งพินิจพิจารณาแล้วบังเกิดทั้งความชอบและไม่ชอบใจอยู่หลายประการ

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่องต่อเนื่องให้ได้อ่านทั้งกีฬา อาหารการกิน การมีจิตอาสา ความเสียสละช่วยเหลือกันของคนในสังคม ไปกระทั่งเรื่องที่ส่อไปในทางน่าติดตามต่อเนื่อง เกี่ยวกับการนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายซื้อข้าวของในหน่วยงานรัฐบางแห่ง หลายเรื่องมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แต่หลายเรื่องเหมือนจะไม่ได้รับความสนใจแม้จะมีการเผยแพร่ส่งต่อบทความของผมในโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ไม่น้อย จึงน่าจะไล่เรียงย้อนดูเพื่อกระตุ้นเตือนและสร้างพลังแห่งการร่วมมือกันทำประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป

น่าเสียดายว่า ภายหลังการประกาศห้ามเรื่องการบริโภคอาหารที่มีไขมันไม่ถูกสุขลักษณะและการห้ามใช้ยาลดความดันบางยี่ห้อไป กลับยังไม่มีหน่วยงานใดกล้าประกาศในเรื่องที่ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์เหมือนกันอีกเรื่องหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกได้ยืนยันแล้วว่า “เนื้อสัตว์ผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮ้อตด๊อก แฮม เบคอน กุนเชียง รวมถึงเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายทั้งในตลาดร้านรวงและห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ใส่ ไนเตรต และไนไตรท์ มีส่วนในการก่อมะเร็ง”  ไม่แตกต่างกันกับไขมันทรานส์ เพราะสารเคมีสองตัวนี้มีผลในการไปทำลายเซลล์ภายในกระเพาะอาหาร (ท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความของผมคงจำได้)

เรื่องนี้คนจำนวนหนึ่งจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์เลยเถิดไปถึงสิ่งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จในทำนองว่า ผลประโยชน์ของบริษัทห้างร้านที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทั้งในและต่างประเทศล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีอิทธิพลสูง ในบางประเทศถึงขั้นมีล้อบบี้ยิสต์ฝังตัวกันอยู่ในรัฐสภาเพื่อดูแลไม่ให้มีกฎหมายใดมากระทบกระเทือนการทำมาหากินของพวกเขา ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่า ความเชื่อที่ใครต่อใครพูดว่า หากไม่กระทุ้งหรือแสดงพลังมากดดันกันแล้ว ทางฟากการเมืองเขาไม่สนใจใยดี เพราะเชื่อกันเป็นนิจว่า ประเดี่ยวเรื่องก็เงียบไปเอง ไม่ต่างกับกรณีการจัดซื้อ “เครื่องตรวจจับความเร็วราคาสามแสน” ที่เพิ่งเขียนถึงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะมีการซูบซิบกล่าวถึงกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีแรงกระเพื่อมเพียงพอจะทำให้การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ของหน่วยงานที่ว่าต้องมีการทบทวนอะไรใหม่ เหมือนว่า ราคาสามแสนต่อเครื่องไม่เห็นเป็นอะไร ทั้งที่เตือนแล้วว่า ซื้อมาก็คงใช้งานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมีเครื่องต่อต้านซึ่งราคาแสนถูกแต่มีอิทธิฤทธิ์ยับยั้งอานุภาพเครื่องตรวจจับเหล่านี้ได้ ถ้ายืนยันจะเดินหน้ากันต่อไป ก็คงปล่อยให้คนที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินความเสี่ยงในหลายๆ เรื่องเอาเอง

ประการต่อมากรณีการแข่งขันฟุตนอลโลกที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ขอเรียนให้ทราบว่า ส่วนตัวไม่มีอคติกับทีมของประเทศหนึ่งประเทศใดในการแข่งขันคราวนี้ แต่การที่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเกือบทุกนัดการแข่งขัน ทำให้เห็นประเด็นที่สมควรหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง เฉพาะอย่างยิ่งความมีน้ำใจนักกีฬาและการจูงใจผู้พากษ์กีฬาให้นำข้อคิดสาระที่มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามแข่งมาพูดกันบ้าง จึงพยายามแนะนำไปยังผู้ให้เสียงภาษาไทยที่เชื่อว่าคงได้ฟังการพูดของผู้บรรยายภาษาอังกฤษที่ส่งตรงมาจากรัสเซียควบคู่กันไป ทั้งนี้มิใช่ว่าผู้บรรยายทางต่างประเทศจะพูดได้ดีมีสาระมากกว่า แต่ประเด็นเรื่อง การใช้ความรุนแรง การเหยียดผิวเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และการอาศัยเครื่องมือสมัยใหม่ในการตรวจจับการเล่นนอกกติกาของนักฟุตบอล ที่อาจทำให้บางคนไม่ชอบใจแต่ถือได้ว่า ช่วยให้การแข่งขันคราวนี้มีความขาวสะอาดมากกว่าที่แล้วๆ มาเป็นที่น่าพึงพอใจมาก

ที่จะละเลยไม่กล่าวถึงมิได้เลย คือ พลังแห่งความรักความสามัคคีที่หลายคนมองเห็น “วิกฤตการณ์ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย” เป็นสิ่งที่ช่วยขยายผลแห่งชื่อเสียงเกียรติภูมิของความเป็นไทยออกไปให้ชาวโลกได้รับรู้ ไม่เพียงเฉพาะการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ ภาพยนตร์ทั้งเพื่อความบันเทิงหรือสารคดีที่จะมีการสร้างชึ้นอีกหลายเรื่อง ย่อมส่งผลให้คนทั่วโลกรู้จักประเทศไทยในทางที่สร้างสรรค์มากกว่าเรื่องที่ไม่อยากกล่าวถึงในอดีตอีกหลายเรื่อง

ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือ พระบุญญาบารมีของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงให้ความสำคัญและทรงอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการสนับสนุนสิ่งต่างๆ ทำให้การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่และพลเมืองจิตอาสาสัมฤทธิผล แม้กระทั่งภายหลังเหตุการณ์ ยังคงทรงมีพระเมตตาห่วงใยราษฎรและได้ทรงพระราชทานแนวทางต่างๆ ในการฟื้นฟูและป้องกันภิบัติภัยในอนาคตให้กับทางรัฐบาลอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุราธิคุณอันหาที่สุดมิได้