ทรัมพ์ - คิม รอบต่อไป ที่ไหนดี

ทรัมพ์ - คิม รอบต่อไป ที่ไหนดี

การที่สิงคโปร์ รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างทรัมพ์ กับ คิม นั้น สิงคโปร์ไม่ได้เป็นฝ่ายเสนอ แต่เกิดจากการร้องขอของทั้งสองประเทศ

และทำให้สิงคโปร์ต้องใช้เงินมากถึง 20 ล้านเหรียญ แต่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ก็กล่าวว่า “มีความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง”

ที่น่าสนใจคือค่าใช้จ่ายมากถึงครึ่งหนึ่ง เป็นค่ารักษาความปลอดภัย เพราะสิงคโปร์จะยอมให้ความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นไม่ได้เลย รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์ ถึงกับบอกว่า เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่สิงคโปร์เคยจัดมา

สิงคโปร์เป็นประเทศ แต่เมื่อพิจารณาขนาดพื้นที่และจำนวนประชากร ก็เท่ากับเมืองๆหนึ่งเท่านั้นเอง และสิงคโปร์ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก การใช้เงินจำนวนมากเพื่อรักษาความปลอดภัย จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นได้เลย

แล้วคุณผู้อ่านทราบไหมครับว่า เมืองไหนในโลกนี้ ที่มี “ความปลอดภัย” มากน้อยที่สุด ตามลำดับ

ถ้าใช้ความรู้สึกของคนทั่วไป เราก็คงได้คำตอบว่า เมืองที่ไม่ปลอดภัยก็คือเมืองที่อยู่ในเขตสงคราม หรือสังคมมีความขัดแย้งอย่างรุนแรง

แต่ระยะหลังๆนี้ เมืองในยุโรป อย่างปารีส หรือลอนดอน กลับไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไรเสียแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าระหว่างที่เราเดินอยู่ที่นั่น จะมีใครชักดาบยาวเฟื้อย ออกมาวิ่งไล่ฟันไล่แทงคนริมท้องถนน หรือในร้านค้า ร้านกาแฟ หรือขับรถบรรทุกพุ่งเข้าชนคนที่เดินอยู่ริมถนน

เวลาที่เราอยู่ในอเมริกา จะเป็นที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย โบสถ์ โรงภาพยนตร์ ฯลฯ เราก็ไม่รู้ว่าที่ใดจะมีใครออกมากราดยิงผู้คน จนเสียชีวิตนับสิบ

นิตยสารมีระดับอย่าง ดิ อีโคโนมิสต์ ได้ออกรายงานเรื่อง “ความปลอดภัยของเมืองทั่วโลก” ครั้งแรกเมื่อปี 2515 และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2017 นี้เอง ซึ่งกรุงเทพก็อยู่ในการจัดอันดับนี้ด้วย ซึ่งในบรรดาเมืองที่มีชื่อเสียงทั่วโลก 60 เมือง นั้น กรุงเทพฯของเราอยู่ในอันดับที่เท่าใด คุณทราบไหมครับ

คำตอบก็คือกรุงเทพฯ มีความปลอดภัยอยู่ในอันดับที่ 49 ....ซึ่งค่อนข้างต่ำ

เขาจัดอันดับโดยให้คะแนน ตัวชี้วัด 49 ตัว ที่เกี่ยวกับ ความปลอดภัย 4 หัวข้อหลัก คือ 1. ด้านดิจิทัล  2. ด้านสุขภาพ 3. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ 4. ด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล ซึ่งเห็นได้ว่าความปลอดภัยส่วนบุคคลนั้น เป็นเพียง 1 ใน4 ของตัวชี้วัดเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังเสริมด้วยการประเมิน ข้อมูลเชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลจากงานวิจัยอีกหลากหลาย ก็นับว่าน่าเชื่อถือทีเดียว

เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเรา ปรากฏว่า กัวลาลัมเปอร์อยู่อันดับที่ 31 ไทเป 22 และโซล 14 ซึ่งดีกว่าเรา และที่ต่ำกว่าเราก็คือ มะนิลา โฮจิมินส์ และ จาการ์ต้าร์ อยู่ที่อันดับ 55 56 และ 57ตามลำดับ เรียกว่าเกือบจะท้ายสุด

พอแยกคะแนนออกเป็นความปลอดภัยแต่ละด้าน กรุงเทพฯของเรา คะแนนน้อยนักด้านความปลอดภัยดิจิทัล เพราะอยู่ในกลุ่ม 10 เมืองที่รั้งท้าย ส่วนที่เหลืออีก 3 ด้าน แม้เราหนีกลุ่มโหล่สุด10 อันดับไปได้ แต่ก็ไม่มีด้านใดเลย ที่ติดอันดับ “ท้อปเท็น”

ส่วนสิงคโปร์ ประเทศเจ้าภาพในการเจรจาประวัติศาสตร์เมื่อต้นสัปดาห์นี้ เขาไปไกลกว่าเราเยอะครับ เขาอยู่ อันดับ 2 ด้านดิจิทัล (ของเราก็ 2 เหมือนกัน แต่ 52 ครับ) และสิงคโปร์ได้อันดับ 1 ด้านความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน และอันดับ 1 ด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล มีเพียงด้านเดียวเท่านั้น ที่เขาไม่ติดท้อปเท็น คือ คือด้านสุขภาพ

ผลก็คือเมื่อรวมคะแนนแล้ว สิงคโปร์ มีคะแนนด้านความปลอดภัยรวม อยู่ในอันดับ 2 จากทั้งหมด 60 ประเทศ ซึ่งผมคิดว่า การที่ทรัมพ์ และ คิม เลือกไปพบกันที่สิงค์โปร์ อันดับดังกล่าวนี้ ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาด้วย

เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เวลามีข่าวว่าสิงคโปร์พัฒนาอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เรามักพูดกันว่า สิงค์โปร์มีคนแค่ 3 ล้านคน เกาะก็เล็กนิดเดียว แถมรัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาดและต่อเนื่อง จะทำอะไรก็ทำได้ง่าย ของเรานั้นยากกว่าเยอะ ซึ่งก็เป็นคำพูดที่พอจะฟังได้ พอปลอบใจตัวเองไปได้

เราก็ปลอบตัวเองแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งบางประเทศในภูมิภาคนี้ เช่นเวียดนาม ทำท่าเหมือนว่าจะแซงโค้งเราได้อย่างน่ากลัว และประเทศอย่าง เกาหลี ซึ่งช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เขาสาหัสสากรรจ์ เท่าเราหรือมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ฟื้นเร็วมากและไปไกลลิบแล้ว

คงพูดไม่ได้นะครับ ว่าเกาหลีไปได้ไกลกว่าเรา เพราะเขามีการเมืองมั่นคง และไม่สะดุดบ่อยแบบเรา เพราะเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าเขามีปัญหาการเมืองมากเช่นกัน ประธานาธิบดีติดคุกไปหลายคนแล้ว รวมถึงคนล่าสุดที่ผ่านมาด้วย

ส่วนจีนนั้น ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ก็ก้าวไกลเกินคาดคิด วันนี้จีนกลายเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกไปแล้ว และปราบคอรัปชั่นได้ค่อนข้างจะอยู่หมัดเลยทีเดียว

ฟังไปฟังมา คุณผู้อ่านอาจจะหดหู่ว่าประเทศไทยไม่มีอะไรโดดเด่นบ้างเลยหรือมีครับ หันมาดูสิ่งดีๆที่เรามีบ้างดีกว่า เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2561 นี้เอง CNN ก็ได้จัดอันดับให้อาหารไทยเป็นอาหารอร่อยติด “ท้อปเท็น” ของโลก สองอย่างด้วยกัน คือแกงมัสหมั่น อันดับ 1 และต้มยำกุ้ง อันดับ 8 นอกจากนั้น ผมมั่นใจว่ายิ้มไทย ก็เป็นรอยยิ้มที่ใสสะอาด ไม่มีรอยยิ้มชนชาติใดในโลกนี้เทียบได้อย่างแน่นอน

สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความงดงามทางธรรมชาติ ฯลฯ เราก็มีมากมายและนำเงินเข้าประเทศได้ตลอดมา

พอเห็น ทรัมพ์ กับ คิม เจรจาจบลงได้ค่อนข้างดี ผมเลยคิดว่าอีกสักพัก ทั้งสองคนอาจจะพบกันเป็น ครั้งที่สองก็ได้ คราวนี้ไทยเราขอเสนอเป็นเจ้าภาพบ้างจะดีไหม แต่เราต้องรีบขยับอันดับความปลอดภัย จากอันดับ 52 ขึ้นไปแข่งกับอันดับ 2 ของสิงคโปร์นะ ...คิดเสียว่าแค่ 50 อันดับ

ต้องช่วยกันทำเพียง 4 ด้านเท่านั้นเอง บังเอิญที่ผ่านมาเราพลาด ที่ไปเน้นด้านอื่น คือไป

ขอเงินทอน แบบ....ด้านๆ”