อย่าปล่อยให้เรื่อง “น่าตกใจ” แต่กลายเป็นเรื่องธรรมดา

อย่าปล่อยให้เรื่อง “น่าตกใจ” แต่กลายเป็นเรื่องธรรมดา

วันนี้ในสังคมไทยมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ขณะเดียวกันอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องน่ากังวล น่าประหวั่นพรั่นพรึง (น่าตกใจ)

ดูจะกลายเป็นเรื่องที่มองกันเหมือนจะเป็นสิ่งสามัญธรรมดา ซึ่งถือว่าหากคนส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเช่นนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่ "น่าตกใจยิ่งกว่า" เพราะถ้าทุกคนในสังคมมองเรื่องร้ายแรงกลายเป็นเรื่องไร้สาระ หรือไม่ใส่ใจนำพา ไม่ว่ารัฐบาลใด คงเป็นภาระหนักหนาสาหัสและจะยิ่งแก้ไขปัญหาได้ยากเย็นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ดังปรากฏเป็นข่าวการจับกุมพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสผู้เกี่ยวข้อง สร้างความหม่นหมองในความรู้สึกของคนที่มีศรัทธาต่อบวรพระพุทธศาสนา เพราะนึกไม่ถึงว่าวิธีการ รูปแบบของการฉ้อฉล ที่จะว่าไปก็ไม่สลับซับซ้อน ถ้าจะบอก "คดโกง" คงใช้คำผิดกันไป เพราะเขา "โกงกันซึ่งๆ หน้าทำกันตรงไปตรงมา "ไม่มีลดเลี้ยวเคี้ยวคดกันแต่อย่างใด" ไม่ต่างกับกรณีเงินกองทุนที่ใช้หมุนเวียนในการศึกษา การเบิกจ่ายช่วยเหลือคนด้อยโอกาสและอื่นๆ ที่ปรากฏชัดเจนว่า คนโกง คนทุจริต เขาไม่เกรงกลัวหรือละอายต่อบาปแต่อย่างใด และน่าจะตรงกับสิ่งที่ผมเคยสัมภาษณ์ "ผู้มีอิทธิพลรายหนึ่ง" เขาพูดกับผมเชิงเห็นใจ เหมือนว่าเราเป็นนักวิชาการทำวิจัยกว่าจะได้สะตุ้งสตางค์ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่สำหรับความมั่งมีศรีสุขที่เขามี มาจากความกล้าได้กล้าเสีย ความสามารถเฉพาะตัวของเขาที่ไม่แนะนำให้ใครเดินตามรอยของเขา แต่เขาบอกกับผมว่า ที่เขามุ่งแสวงหา สะสม กอบโกย เพราะเกรงว่าเมื่อพ้นชีวิตนี้ไปแล้ว เขาจะไม่มีโอกาสได้ใช้สิ่งที่เขาแสวงหามาได้

ความคิดลักษณะนี้น่าจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาหลายอย่าง ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ในเส้นทางแห่งการละเมิดกฎกติกาของสังคม การจะมาปรับทัศนคติความคิดให้เขาคิดหรือเชื่ออย่างเรา เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะคนเหล่านี้เชื่อมั่นแบบฝังรากลึกว่า เขาเติบโตร่ำรวยกล้าแกร่งขึ้นมาด้วยเส้นทางที่เขาเลือกเดินมาแบบนี้ ต้องถือว่าคนเหล่านี้โชคดีที่ประสบความสำเร็จในทางของเขา แต่การที่ผมไม่เปลี่ยนอาชีพครูบาอาจารย์ไปเป็นนักเลงหัวไม้ หรือยึดเอาเส้นทางอบายมุขอย่างที่มีคนประเภทนี้บางส่วนประสบความสำเร็จ นั่นเพราะผมเห็นว่า จำนวนหรือสัดส่วนคนที่ประสบความสำเร็จหนีคุกตะราง กับคนที่ถูกจองจำหรือต้องโทษเป็นจำนวนที่เทียบกันไม่ได้ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ "ทำเลวแล้วได้ดีแม้จะมีแต่ไม่มาก แต่ทำดีแล้วได้ดีผมเชื่อว่ามีอยู่มากกว่า" ดังนั้นเมื่อบวก ลบ คูณ หาร คิดอย่างถี่ถ้วน ผมจึงเลือกทางเดินที่สุจริตไม่เบี่ยงเบนไปตามสิ่งล่อใจ หรือเผลอไผลไปกับภาพลวงตา ซึ่งเราอาจมองไม่เห็นสิ่งที่เชื่อมโยง หรือเบื้องหลังของความสำเร็จของคนเหล่านี้ว่าบางทีญาติพี่น้องของเขา คนใกล้ชิดเขา หรือด้านลบๆ ที่เขาต้องเผชิญหรือเคยประสบพบเจอนั้นเป็นเช่นไร

สาเหตุที่ต้องผูกประเด็นเรื่องน่าตกใจมาเกี่ยวพันกับมุมมอง ความคิดของคนที่พึงพอใจกับการใช้ชีวิตแบบสุ่มเสี่ยง หรือมองไม่เห็นเรื่องหลายเรื่องที่เป็นอันตรายเหมือนอย่างที่เราเห็นกัน ด้วยเพราะต้องการให้เราทั้งหลายตระหนักตรงกันว่า ในสังคมไทยเรายังมีปัญหาน่าตกใจอีกมากมายที่ไม่ควรมองข้าม และอย่าคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา ปล่อยๆ ไป กาลเวลาหรือระบบสังคมจะกลืนกลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันไปเอง ถ้าคิดแบบนี้สภาพสังคมที่เราอยู่อาศัยกันจะอยู่กันยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถือว่าเป็นความคิดแบบคนที่ยอมจำนน ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือใช้พลังที่มีในการสร้างคุณค่าให้กับส่วนรวม ผมต้องการให้คนไทยของเราเพิ่มจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสาธารณะให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป

วันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงริเริ่มผลักดันหลายโครงการ "จิตอาสา" เพื่อปลูกฝังความรับผิดชอบต่อส่วนรวมให้คนในสังคม รัฐบาลเองก็มีส่วนสนองแนวทางพระราชดำริ ด้วยการกระตุ้นจิตสำนึกในลักษณะเดียวกันผ่านทั้งสื่อ การแสดงออกและการเชิดชู "ผู้ทำความดี" "ผู้มีความรู้ความสามารถ" เรียกว่า "ใครทำดี ต้องได้ดี"

แม้ว่า "การอาศัยกระแสสังคมในการช่วยผลักดันจะเป็นสิ่งที่มีพลานุภาพมาก" แต่มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า ภาพยนตร์ละครดังแห่งยุค แม้ผู้เกี่ยวข้องจะพยายามผลักดัน แต่เมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ การกล่าวขวัญถึง ความนิยมชมชอบที่มีมากล้นเหลือคณานับในระยะแรกๆ กลายเป็นเรื่องที่สร่างซาไปอย่างรวดเร็ว บางคนบอกว่าเป็นเพราะกระแสการแข่งขันกีฬาระดับโลกเข้ามาแทนที่ ซึ่งอาจมีส่วนถูก แต่ที่น่าจะไม่ผิดไปเลย เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของคนในสังคมต้องช่วยกันต่อยอดพัฒนา หรือริเริ่มสิ่งที่เป็นประกายแห่งความหวังนั้นให้เหมือนไฟที่ลุกโชน เพราะมีเชื้อไฟหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา วันนี้เรื่องน่าตกใจที่กำลังเป็นประเด็นรุมเร้าไม่เพียงเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน แต่ยังมีการฉ้อฉลเอารัดเอาเปรียบรูปแบบอื่น เช่น การนำเข้าขยะสารพิษที่ได้ยินเรื่องนี้มานานหลายปี เพราะปล่อยปละละเลย หรือจะรู้เห็นเป็นใจมิทราบได้แต่ก็มีมาต่อเนื่อง ไม่อยากให้พูดๆ เป็นที่ฮือฮากันประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเหมือนที่แล้วๆ มา