จีน: เสื่อเศรษฐกิจตัวใหม่ บุก EEC

จีน: เสื่อเศรษฐกิจตัวใหม่ บุก EEC

การขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนนั้นจะทำให้จีนเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวใหม่ แทนญี่ปุ่น หรือสหรัฐในอดีตหรือไม่

ไทยจะเป็นประเทศราชของจีนโดยเริ่มต้นที่ EEC ใช่หรือไม่

     คำว่า “เสือเศรษฐกิจ” นั้น ในสมัยก่อนญี่ปุ่นนับได้ว่าเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวสำคัญของโลกเพราะ (มีการกล่าวหาถึง) การเอาเปรียบคู่ค้า เช่น ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ มีการประท้วงสินค้าญี่ปุ่นกันอย่างออกหน้าออกตา เช่น ที่ห้างไดมารู ราชดำริ มีกลุ่มนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำโดย อ.ธีรยุทธ บุญมี ในสมัยปี 2515 ยืนและนั่งประท้วงอยู่หน้าห้าง (https://bit.ly/2FRVkoZ) ซึ่งเป็นห้างแห่งแรก ที่มีบันไดเลื่อนในประเทศไทย (https://goo.gl/vtU1q5)

     ขณะนั้นจีน ยังกำลังกระเสือกกระสนกับการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ แถมยังถูก “ทอดทิ้ง” โดยสหภาพโซเวียต จนกระทั่งต้องออกนโยบายระหว่างประเทศใหม่ด้วยการผูกสัมพันธ์กับตะวันตกด้วยอาศัย “การทูตปิงปอง” https://goo.gl/Y5G6Zx) หรือ Ping-pong diplomacy คือการแข่งขัน เทเบิลเทนนิส หรือปิงปอง ระหว่างสหรัฐ และจีน ในช่วงต้นปี 2513 เพื่อปูทางไปสู่การเยือนประเทศจีนของนิกสัน แต่ในปัจจุบันจีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าญี่ปุ่น เป็นอย่างมาก ด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าญี่ปุ่นราว 4 เท่าแล้ว อิทธิพลของจีน สินค้าของจีนก็กระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะกรณีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟ (ความเร็วสูง) และเป้าหมายสำคัญอันหนึ่งของจีนก็คือการเข้ามาพัฒนาทางรถไฟจากยูนนาน เชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ ผ่านประเทศไทย

     เมื่อ 2 ปีก่อน มีข่าว “จีนร่วมลงทุนรถไฟไทย บีบนำเข้าวัสดุ-ขอค่าแรงขั้นต่ำ จากโครงการรถไฟไทย-จีน ระยะทาง 873 กม. เม็ดเงินพุ่งทะลุ 5.3 แสนล้านบาทตะลึง คิดค่าแรงขั้นต่ำ 800บาท/วัน สูงกว่าไทยเท่าตัว ล็อกสเป็กเหล็กบางตัวต้องนำเข้าจากจีน ”อาคม“ สั่ง ร.ฟ.ท. เอกซเรย์รายการก่อสร้างอย่างเข้มงวด”

     ในการทำงานจริงในอนาคตของโครงการรถไฟ หากมีข่าวคราวการ เอาเปรียบ ไทย ก็จะทำให้ภาพพจน์ของจีนเสียหาย แนวเดียวกับ “เสือเศรษฐกิจ” แบบญี่ปุ่นหรือแบบสหรัฐ เป็นต้นในความเป็นจริง จีนอาจไม่ได้มุ่งเอาเปรียบก็ได้ ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ควรมีการประชาสัมพันธ์ที่ดี หาไม่ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของจีนเอง เช่นที่เคยเกิดขึ้นกับนักลงทุนญี่ปุ่นในอดีตนั่นเอง

     ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ปรากฏว่า จีนไม่ได้มาเพียงลงทุน แต่มาตั้งบริษัท นายหน้ากันมากมายอีกด้วย “จากการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา(พฤศจิกายน 2560-เมษายน 2561) พบว่า ในพื้นที่ จ.ชลบุรี มีผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท โดยมีวัตุประสงค์เพื่อเป็นนายหน้า ตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (68102) กว่า 500 บริษัท หรือเฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 80 บริษัท...นักธุรกิจชาวจีน และญี่ปุ่น ที่จดทะเบียนตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก...ปัจจุบัน...บริษัทของคนจีนนั้น คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 80-100 บริษัท...” (https://bit.ly/2I47VHi)

     ถ้า ร่าง พระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก .. .... (https://goo.gl/y7cs38) ออกใช้ ไทยอาจถูกจีนครอบงำเป็นเสมือน มณฑล หนึ่ง และEEC จะเป็นเสมือน จังหวัด หนึ่งของจีน
อย่างไร

     

  1. จีนจะเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมการบริการ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการจัดประชุม หรืออุตสาหกรรมอื่นใดได้ด้วยตามมาตรา 39 ของร่าง ...นี้ นี่เท่ากับให้ต่างชาติมา ทำร้าย อุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะใช่หรือไม่ นี่แสดงว่ารัฐจะกำหนดอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกต่อไปจีนคงเป็นเจ้าของสวนทุเรียน ไม่ใช่เฉพาะมาเป็น “ล้ง” จีน จีนและต่างชาติอื่นจะพาเหรดกันเข้ามาในประเทศไทยแล้ว
  2. จะเกิดเขตเช่าต่างชาติ เพราะตามมาตรา 48 ต่างชาติสามารถมีสิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ มีสิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร มีสิทธิในการที่จะได้รับยกเว้น
    หรือลดหย่อนภาษีอากร มีสิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงิน และอื่นๆ อย่างนี้จีนและต่างชาติได้เปรียบทุนไทยเห็นๆ
  3. เช่าที่ 99 ปีหรือ 100 ปีได้โดยไม่ต้องรอให้หมดอายุสัญญา เพราะมาตรา 49 ระบุว่า “ไม่ต้องได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือภายใต้การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
    แล้วแต่กรณี. . .”
  4. คนจีนได้เปรียบคนไทย เช่น ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงานได้มาตามมาตรา 35 ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งปวง (มาตรา 36)
  5. ความได้เปรียบนักธุรกิจไทยชัดเจนเพราะมาตรา 50 ระบุว่า ให้สิทธิพิเศษแก่บุคคลดังกล่าว รวมทั้งคู่สมรสและบุพการีและบุตรที่เข้าอยู่อาศัยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ
    พิเศษ ให้ได้รับการลดหย่อนภาษีและสิทธิอื่นเป็นกรณีพิเศษก็ได้และในกรณีที่เป็นคนต่างด้าว ให้ได้รับสิทธิพิเศษเกี่ยวกับการเข้าเมืองด้วยก็ได้... เสมือนยอมให้จัดตั้งอาณานิคม
  6. จากมาตรา 52 ระบุว่าสามารถ “เช่า เช่าช่วง ให้เช่า หรือให้เช่าช่วงที่ดินหรือ อสังหาริมทรัพย์ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ” คือถ้าพวกจีนหรือต่างชาติใด ทำธุรกิจแล้วเจ๊ง ก็เซ้งต่อที่ดินทำกำไรได้
    ในขณะที่คนไทย ได้ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 มา ถ้าเลิกทำเกษตรกรรมแล้ว ต้องคืนหลวงเพื่อนำไปให้เกษตรกรอื่นใช้ (ซึ่งถูกต้องแล้ว) แต่กรณี EEC ทำให้พวกเขามาทำกำไรได้อีกต่างหาก ลองนึกถึงสถานทูตอังกฤษ
    ที่ซื้อที่มาราวตารางวาละ 4 บาท แล้วปี 2561 กลับสามารถขายได้ในราคา ตารางวาละ 2 ล้านบาท ดูว่าพวกเขาทำกำไรขนาดไหน
  7. ต่างชาติสามารถใช้เงินตราสกุลของเขาเองได้ ต่อไปคงเอาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ ไทยคงเหมือนกัมพูชาที่เดี๋ยวนี้ใช้แต่เงินดอลลาร์ ขาดความคล่องตัวจากการใช้เงินสกุลต่างชาติ ทั้งนี้ดูได้ตามมาตรา 57
  8. ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เราถูกหลอกให้เข้าใจว่า EEC คือแค่ 3 จังหวัด แต่ตามมาตรา 6 ระบุว่า “ให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยองและพื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคตะวันออกที่กำหนดเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก...” คือพอได้ 3 จังหวัดนี้แล้ว ต่อไปจีนก็บุกอีก 4 จังหวัด รวม 7 จังหวัด และต่อไปอาจขยายไปทั่วประเทศ ไทยจะกลายเป็น “มณฑล” หนึ่งของจีนหรือไม่

     นี่ใช่การขยายอำนาจให้จีนและมหาอำนาจอื่นหรือเปล่า ชาติอื่น เช่น สิงคโปร์ แค่ต่างชาติมาซื้อห้องชุดยังต้องเสียภาษีซื้อ 15% ฮ่องกง 30% แต่ไทยเราจะไม่เก็บค่าธรรมเนียม แถมภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ร่างกันอยู่ก็ต่ำจนแทบไม่ต้องเสีย อย่างนี้เราเสีย “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ไหม นอกจากเรายกแผ่นดินให้ต่างชาติแล้ว ยังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอน ที่แม้แต่คนไทยก็ต้องเสีย

     ไทยไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะจีนบุกไป“ขยายอำนาจ” แบบนี้ไปทั่วโลก ผิดไปจากอุดมการณ์สังคมนิยมที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน แต่กลับพาจีนให้กลายเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แบบนี้ไปแล้วหรือไม่ แต่ถ้าจีนต้องการอยู่รอดในสังคมโลกจริงๆ โดยไม่ถูกสาปไปทั่วสารทิศ จีนต้องสร้างนโยบายแบบ Win Win ต่อทุกฝ่าย เติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่ไปครอบงำชาติอื่นแบบอภิมหาอำนาจอื่นๆ ที่เคยมีบทเรียนมาแล้ว

          การสร้างและดูแลภาพลักษณ์หรือแบรนด์ของจีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ