สตรีผู้ประสานสาม:ราชการ-ทหาร-เอ็นจีโอ
พระไพศาล วิสาโล ยกย่องเธอเป็น “ศรีของปวงประชา” ศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์ ขณะนี้อายุ 87 ปี ตลอดชีวิตการทำงานสามารถผสมผสานข้อดี
ในวิถีข้าราชการพลเรือน จิตวิญญาณเสนาธิการทหาร และเอ็นจีโอ เข้าด้วยกัน
สร้างผลงานมากมายตั้งแต่ก่อนและในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา ในฐานะนักคิดนักทำมายาวนาน เพื่อประโยชน์สุขประชาชนในด้านสิทธิและเสรีภาพจากฐานความคิดด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกลุ่มเสียเปรียบด้อยโอกาสประสบภัยทางความคิด ทางการเมือง และต่อมาในกลุ่มประชากรเด็กผู้หญิงและผู้สูงอายุ
ผู้เข้าร่วมเสวนาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของเธออย่างคับคั่งเมื่อ 26 เม.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สำหรับ ศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์ การคิดแบบราชการไม่ได้เป็น “ตลกร้าย” การคิดแบบเสนาธิการทหารก็ไม่ได้เป็นเพียง “เผด็จการ” การคิดแบบเอ็นจีโอก็หาได้เป็นแค่ “การหาทุนจากต่างชาติ” ไม่
ระหว่างรับราชการ 30 ปี ตั้งแต่อายุ 22 เมื่อปี 2496 และลาออกเมื่ออายุ 52 จากตำแหน่งหัวหน้ากองวิชาการ กรมวิเทศสหการ ในสังกัด สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศรีสว่างได้เริ่มใช้ข้อดีแบบราชการ เช่นการทำงานอย่างมีแผนมีข้อมูลมีเป้าที่ระบุได้ มีการติดตามผลและการทำรายงานเอกสาร มีการติดต่อประสานในเนื้องานกับตัวบุคคลในทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะการมีต้นทุนดีทางสังคมและความน่าเชื่อถือทางความมั่นคงในฐานะ “ข้าราชการ” ไปบุกเบิกริเริ่มทำงานในแบบที่มิใช่ราชการ (non-governmental organization NGO) หรือภาคประชาสังคมโดยเธอทำต่อเนื่องมาตั้งแต่นั้น
หากว่าแบบราชการซึ่งมักติดยึดอยู่กับกฎระเบียบแบบแผนต่างๆ มีการรวมศูนย์อำนาจไม่ค่อยตอบสนองความต้องการประชาชนมักใช้ระเบียบควบคุมแบบหยุมหยิม ยิ่งระบบราชการมีลักษณะแบบนี้มากเพียงใดยิ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอมากขึ้น ศรีสว่าง ให้สัมภาษณ์ปี 2542 เกี่ยวกับเอ็นจีโอว่า “ภาพรวมของบรรยากาศทำงานกับเอ็นจีโอที่ดีคือ ให้อิสระกับผู้คนในการทำงาน ให้มีความคิดสร้างสรรค์ มีอิสระที่จะทำอะไรอย่างมีการตัดสินใจด้วยตัวเองระดับหนึ่ง... อีกส่วนหนึ่งก็เป็นธรรมชาติของการทำงาน เพราะว่าผู้ที่เป็นกรรมการหรือระดับบริหารไม่ค่อยมีเวลา ดังนั้นเราก็ค่อนข้างจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขาคิดค้นเอง ตรงนี้ก็เป็นส่วนดี”
ผลงานของเอ็นจีโอนามว่า กลุ่มศาสนาเพื่อสังคม (กศส.) ในภาวะวิกฤติการเมือง 6 ตุลา ที่พระไพศาลเล่าถึง โดยท่านเองขณะนั้นเป็นนักศึกษา เป็นเอ็นจีโอใน กศส.คนหนึ่ง ที่ได้ทำงานบรรเทาและปลดทุกข์ผู้ต้องขังคดีความคิดและการเมือง เช่น เยี่ยมนักโทษ จัดหาข้าวของให้ ที่ประกันได้ก็ประกัน ที่ประกันไม่ได้เช่นกลุ่มคุณสุธรรม แสงประทุม ต่อมาก็รณรงค์นิรโทษกรรม เป็นองค์กรเดียวที่ขณะนั้นทำงานนี้ได้อย่างเปิดเผยและต่างประเทศเชื่อถือรับฟัง ก็ด้วยอาศัยที่ปรึกษาและ “บารมี” ข้าราชการอย่าง ศรีสว่าง ผู้มีวิสัยทัศน์ในด้านสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนมีบุคลิกซื่อตรง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่ผู้ได้รู้จักและทำงานด้วยในทุกระดับ ประสานงานได้กับทุกฝ่าย ทั้งราชการพลเรือนและทหารที่รับฟังและเข้าใจ ถึงขนาดสร้างประวัติศาสตร์คดีคอมมิวนิสต์คดีเดียวที่สั่งไม่ฟ้องเมื่อเจ้าหน้าที่ กศส.ถูกจับคดีนี้ขณะปฏิบัติงานหาข้อมูลสิทธิมนุษยชนในภาคใต้
โครงการแด่น้องคนเล็ก เพราะมีเด็กไทยตายเป็นล้านเพราะขาดสารอาหาร และต่อมาแด่น้องผู้หิวโหย ในช่วงปี 2520-2522 ซึ่งเติบใหญ่มาเป็นมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) และสร้างคนอย่าง “ครูหยุย” ก็เริ่มมาจากนักคิดนักทำที่มีหนึ่งเดียวศรีสว่างคนนี้นี่เอง
สัมภาษณ์เมื่อ 28 ส.ค.2543 แสดงถึงการใช้สถิติข้อมูลเศรษฐกิจสังคมอย่างมีจิตวิญญาณ เป็นนักวางแผนเบื้องหลังแบบเสนาธิการทหาร (ศรีสว่างได้รับพระราชทานเข็มแสนยาธิปัตย์จากวิทยาลัยการทัพบก พ.ศ.2517 วปอ.รุ่น 24 พ.ศ.2524) และจิตใจเปี่ยมความกรุณาผู้ด้อยโอกาสทางการเมืองทางเศรษฐกิจโดยได้มีบุคคลอย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชักนำมาทำงานเพื่อสังคม มีว่า "...ไทยส่งออกข้าวมีชื่อเสียง แต่เด็กของเราปล่อยให้อดอยากอย่างนี้ได้อย่างไร อันนี้คือจุดมุ่งหมาย หรืออย่างกรณีไปช่วย กศส...ที่ไม่ได้อยู่มาตั้งแต่ต้น มีคนบอกกล่าวไปถึงอาจารย์ป๋วยซึ่งตอนนั้นลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ แล้วบอกไปว่าไม่มีใครช่วยงานตรงนี้คนทำงานมีไม่กี่คน อาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหาช่วยหน่อย อาจารย์ป๋วยเขียนจดหมายมาจากอังกฤษบอกว่าให้ไปช่วยเขาหน่อยนั่นแหละจึงเข้าไปช่วย กศส. แล้วเลยเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ไปถึงเรื่อง human rights เมื่อก่อนคนไทยเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ human rights ในเรื่องเด็ก ไม่ว่าเด็กขาดอาหาร คนยากคนจนด้อยโอกาส ทีนี้พอมาและได้รับช่วยกรณีผลกระทบ 6 ตุลา มันเป็น human rights ทางเสรีภาพทางความคิดทางการเมืองมันมีฐานของ human rights ที่พ้นจากความหิวโหย"
แผนพัฒนาสตรีทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองสุขภาพที่เริ่มมีครั้งแรกในแผนพัฒนาฉบับ 4 (พ.ศ.2520-2524) ตอบสนองกระแสทศวรรษสตรีสหประชาชาติ ที่สตรีมิใช่เพียงผู้รับบริการคุมกำเนิดดังปรากฏในแผนพัฒนาฉบับ 3 ก็ด้วย ศรีสว่าง หัวเรือใหญ่รวบรวมคณะทำงานมาทำแผนดังกล่าวในสภาพไร้สำนักงาน ไร้บุคลากร เป็นกิจจะลักษณะและเป็นเพียงคณะกรรมการเฉพาะกิจ (ad hoc) แต่ก็ทำสำเร็จจนได้
ขัตติยา กรรณสูต นักวิชาการอาวุโสตั้งข้อสังเกตว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของนายกฯ “ลุงตู่” ก็ทำแนวเดียวกับแผนพัฒนาสตรีระยะยาว 20 ปี (พ.ศ.2524-2544) ที่คณะทำงานของศรีสว่างทำมาก่อน โดยแตกออกมาเป็นแผนย่อย 5 ปี แบบเดียวกันเลย
เมื่อกระทรวงสาธารณสุขยกร่างทำแผน 20 ปี พ.ศ.2526 ด้านผู้สูงอายุนับเป็นครั้งสำคัญอีกหนึ่งที่ศรีสว่างนำเอาการเป็นนักคิดนักปฏิบัติการแบบราชการ-ทหาร-เอ็นจีโอ มาใช้อย่างเต็มที่
ผู้สนใจจะติดตามได้อีกชีวิตการทำงานของ ศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์ มีผู้เลื่อมใสศรัทธากำลังรวมตัวกันบันทึกรวบรวม