DCA ช่วยคุณได้

DCA ช่วยคุณได้

DCA ช่วยคุณได้

ในช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง แต่แกว่งตัวอยู่ในกรอบค่อนข้างจำกัด โดยตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2561) ปิดตลาดอยู่ในกรอบ 1,740 – 1,810 จุดหรือมีช่องกว้างเพียง 50 จุดเท่านั้น

ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ข้อมูลจากการแถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินเดือนมีนาคม ของ ธปท. บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าที่เติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกือบทุกหมวด  ในส่วนของเศรษฐกิจต่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯในเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปี ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง ตลาดที่อยู่อาศัยมีความตึงตัวเนื่องจากปริมาณบ้านในสต็อกมีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลงหลังจากขยายตัวมากกว่าปกติในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว  ส่วนเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา  โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง  สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง  ส่วนเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรกที่ผ่านมาขยายตัวได้ดีตามคาด ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวดูเหมือนชะลอตัวลง แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมากจากวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีน

จากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศต่างๆน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น  แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น  เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ได้แก่ 1) ความเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯอาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯเร่งตัวขึ้น  2) ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยข้อเรียกร้องในการเจรจาของสหรัฐฯดูเหมือนเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้  3) ความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งอาจส่งผลให้สหรัฐฯและชาติพันธมิตรกลับมาคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง  4) ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง ที่มีโอกาสจะทวีความรุนแรงได้ทุกเมื่อ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจได้

จะเห็นได้ว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากมองในแง่ความเสี่ยง ปัจจัยที่กล่าวมานี้อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นดิ่งลงรุนแรงได้  กลยุทธ์การทยอยลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆกันตามตารางที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ หรือที่นักลงทุนคุ้นเคยกันในชื่อกลยุทธ์ dollar-cost average (DCA) น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในช่วงนี้  เพราะการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์นี้จะช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสหากตลาดปรับตัวขึ้นตามปัจจัยพื้นฐาน และความเสี่ยงต่างๆที่กล่าวไว้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตลาดกังวล  ในขณะที่หากตลาดหุ้นดิ่งลงเนื่องจากสถานการณ์ต่างๆเลวร้ายลง นักลงทุนก็จะได้ต้นทุนในการลงทุนที่ต่ำลง ซึ่งหมายถึงโอกาสที่จะได้กำไรจากการลงทุนมีมากขึ้น  นอกจากนี้ การลงทุนแบบ DCA จะช่วยลดการขั้นตอนการตัดสินใจของนักลงทุนว่าควรลงทุนช่วงไหนดี และช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนโดยการจับจังหวะตลาด (market timing) เพราะนักลงทุนเพียงแค่ลงทุนตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้เท่านั้น  รวมถึงนักลงทุนไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการลงทุน  ซึ่งหากตลาดปรับตัวเป็นขาลง นักลงทุนที่ใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ลงทุนในครั้งเดียวอาจขาดทุนเป็นจำนวนมาก แต่นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ DCA อาจมองเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ต้นทุนถูกลง  แต่หากตลาดเป็นขาขึ้น นักลงทุนที่ใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ก็มีโอกาสได้กำไรมาก ในขณะที่นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ DCA อาจได้กำไรน้อยกว่า แต่ก็ไม่พลาดโอกาสในการลงทุน   

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าควรลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ ควรมีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม มีวินัยในการลงทุน และศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ละเอียดก่อนการลงทุนครับ