ถ้าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิ.ย.

ถ้าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิ.ย.

ถ้าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิ.ย.

การประชุม FOMC ครั้งที่ผ่านมาในสัปดาห์ที่แล้ว  ผ่านไปโดยไม่มีอะไรสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนมากนัก ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ 8-0 ให้คงอัตราดอกเบี่ยที่ 1.50-1.75% ต่อไป

แต่สำหรับการประชุมเดือนมิ.ย. ที่จะถึงนี้ หากดูที่ Fed Fund Futures เราจะพบว่า โอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ตอนนี้โอกาสสูงถึง 90% ขยับขึ้นมาสูงกว่าวันก่อนหน้าการประชุมซึ่งอยู่ที่ 85%

สิ่งที่เราเห็นว่าเปลี่ยนแปลงในรายงานการประชุม เห็นจะเป็นการแสดงความคาดหมายว่า อัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะขยับขึ้นใกล้เป้าหมายมากขึ้น โดยในรายงานการประชุมครั้งนี้ เฟดใช้คำว่า “เงินเฟ้อเข้าใกล้ 2%” ซึ่งต่างจากการประชุมในเดือนมี.ค. ที่ระบุว่าเงินเฟ้อยังคง “ต่ำกว่า 2%” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อมาแล้วนะครับ

หลักๆก็น่าจะมาจากการบริโภคภายในประเทศสหรัฐฯเองที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง บวกกับราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นมา หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียให้เป้าราคาน้ำมันไว้ที่ $80 โดยวิธีการที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากความร่วมมือการลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC เพราะได้ประโยชน์กันทั้งกลุ่ม และอีกวัตถุประสงค์หลักก็คือ เพื่อเป็นการสนับสนุนมูลค่าการ IPO ของ Saudi Aramco ด้วย โดยเจ้าชาย Bin Salman กล่าวว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตลอดทั้งปีและปี 2019 และบริษัท Aramco มีแผนที่จะ IPO ในปีหน้าแทนครึ่งหลังปีนี้

ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีถึงประมาณ 12% และอาจมีแนวโน้มขยับสูงขึ้นไปได้อีก

พอเห็นประเด็นตรงนี้ นักลงทุนก็เลยกังวลกันว่า จะเป็นความเสี่ยงโดยรวมของตลาดการลงทุนหรือไม่ เพราะหากราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมาสูง ก็จะทำให้เงินเฟ้อขยับสูงขึ้น และกดดันให้เฟด รวมถึงธนาคารกลางในหลายๆประเทศต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ในก่อนหน้านี้

ความท้าทายของธนาคารกลางก็คือ หากขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป ก็จะเจอแรงกดดันจากเงินเฟ้อแบบนี้ และไปเร่งการเกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ประเภทอื่นมากขึ้น แต่ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป ก็อาจจะไปทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจที่มีอยู่หยุดชะงัก จากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นจนธุรกิจมีความเสี่ยงในการปรับตัวไม่ทัน

แต่ถ้าดูจากการส่งสัญญาณของเฟดแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า ปีนี้ น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งครั้งถัดไปก็คือ การประชุมในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้นะครับ

จากการได้พูดคุยสอบถามกับผู้จัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็มีความเห็นในทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงในแง่ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็คือ เซอร์ไพรส์ฝั่งขาขึ้น หรือ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งแค่ประเด็นเรื่องการที่ซาอุฯให้เป้าราคาน้ำมันที่ $80 ก็อาจจะเพียงพอให้นักลงทุนทั่วโลกกังวลอยู่ในเวลานี้

แต่ท่ามกลางความกังวล ก็มีนักวิเคราะห์อีกหลายฝ่ายที่มองในมุมต่าง ผมลองยกมาให้ได้อ่านกันนะครับ โกลแมน แซคส์ (Goldman Sachs) มีมุมมองว่า ในโอกาสเพียงแค่ 25% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ (ขึ้นไปแล้ว 1 ครั้ง) และถึงจะขึ้นเร็วกว่านั้น Fed Fund Rate ในระดับที่ทางโกลแมนด์เอง มองว่าเป็นระดับที่ไม่น่าไว้วางใจ ก็ต้องอยู่ที่ระดับ 3.25%-3.50% เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อเทียบจากระดับปัจจุบันแล้ว ยังถือว่าห่างไกลมาก ดังนั้น ตลาดไม่น่าจะตอบรับในเชิงลบถึงแม้เงินเฟ้อจะมาเร็วกว่าคาด และทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

อีกด้าน ทางเจ.พี. มอร์แกน ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี กับผลตอบแทนจากการลงทุนรายสัปดาห์ในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 1963 ก็พบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจครับ คือ ในช่วงที่ 10-Year Treasury Yield ต่ำกว่า 5% พบว่า ผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนี S&P 500 มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อกัน

กล่าวคือ เมื่อ Yield ขยับขึ้น พบว่า อัตราผลตอบแทนของ S&P 500 ก็ขยับขึ้นเช่นกัน นั่นหมายความว่า ถึงแม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะขยับขึ้น แต่ตลาดหุ้นก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ ประเด็นนี้น่าจะพออธิบายเหตุผลได้ว่า เพราะอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเอง ถึงแม้จะขยับสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการไปลงทุนในหุ้น

แต่เมื่อ 10-Year Treasury Yield สูงขึ้นมากกว่า 5% เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะกลายเป็นมีลักษณธแปรผกผันทันที คือ Yield ขึ้น ตลาดหุ้นจะร่วง และ Yield ลง ตลาดหุ้นจะขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบ ณ ระดับปัจจุบันที่นักลงทุนกังวลกันว่า ที่ 10-Year Treasury Yield กำลังจะทะลุ 3% ขึ้นไป จะทำให้เกิดการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นหรือไม่ ก็คงต้องตอบจากหลักฐานในอดีตว่า ไม่ได้เป็นทริกเกอร์ให้ตลาดหุ้นปรับฐานแรงอะไรนะครับ

ดังนั้น ถ้าหุ้นจะลงแรง หรือถ้าเหตุการณ์ Sell in May จะเกิดขึ้น น่าจะมาจากเหตุผลอื่นมากกว่า และถึงแม้เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นแค่การปรับฐานชั่วคราวครับ