กองทุนผสม...อีกทางเลือกที่น่าลงทุน

กองทุนผสม...อีกทางเลือกที่น่าลงทุน

กองทุนผสม...อีกทางเลือกที่น่าลงทุน

ในช่วงนี้สภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมากๆ จากความกังวลเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในซีเรีย Trade War ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทั่วโลกต่างติดตามอย่างใกล้ชิด เมื่อมีประเด็นที่ทำให้นักลงทุนกังวล ก็ต่างพากันขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต พอความกังวลลดลงก็กลับมาซื้อหุ้นกันต่อ (Risk-on & Risk-off) ทำให้นักลงทุนที่กล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าลงทุนก็ได้แต่มองดูตลาดไปก่อน รอให้สถานการณ์สงบค่อยเข้าลงทุน แต่ใครจะรู้ว่าวันไหนหุ้นจะลงไปต่ำสุด?

สำหรับตลาดหุ้นปีนี้ยังมีโอกาสที่ยังเติบโตจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังขยายตัวได้ดีจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ล่าสุด IMF ได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกน่าจะขยายตัว 3.9% ในปี 2561 และปี 2562 ซึ่งถ้าดูตลาดหุ้นปีนี้จากดัชนี MSCI All Country World Index สิ้นไตรมาสแรกของปี -0.96% จากปี2560 ที่ +23.97% และถ้าดูตราสารหนี้ในตลาดโลก เทรนด์การขึ้นดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ยังจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ หลังจากที่ไตรมาสแรกปรับขึ้นไปแล้ว 1 ครั้ง ทำให้อัตราดอกบี้ยนโยบายของสหรัฯ อยู่ที่ 1.50-1.75% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงอยู่ที่ 1.50% ซึ่งยังเป็นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ

ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนอาจตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการบริหารเงินจากการฝากเงินที่ความเสี่ยงต่ำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น หุ้น แต่การลงทุนในหุ้นไม่ได้การันตีผลตอบแทน ทำให้มีโอกาสที่จะลงทุนไปแล้วขาดทุนเงินต้นได้ หรือการลงทุนในตราสารหนี้ที่ดูเหมือนว่าความเสี่ยงจะต่ำกว่าหุ้น แต่ก็มีผลตอบแทนที่ต่ำไปด้วย หรือบางคนก็อาจจะหันไปลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวมไปถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีการให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปเงินปันผล ที่มาจากรายได้ที่กิจการในกองทุนสามารถเก็บจากลูกค้าได้เช่น ค่าเช่า, ค่าใช้บริการรายเดือน เป็นต้น

โดยสถิติปัจจุบันกองทุนประเภทนี้จ่ายเงินปันผลต่อปีมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือดอกเบี้ยจากตราสารหนี้  และในปัจจุบันกองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีให้นักลงทุนเลือกลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มีสินทรัพย์หลากหลายให้เลือกลงทุนมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในประเภทนี้ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital gain) จากมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากเงินปันผลในกองทุนอีกด้วย แต่ถ้านักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงมากและอยากได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่อยู่ระดับต่ำ กองทุนผสมที่มีการผสมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และREITs อาจจะตอบโจทย์ของนักลงทุนได้

กองทุนผสมที่กล่าวมากข้างต้นนั้น มีผลดีคือมีการกระจายการลงทุนที่มากขึ้นจากที่เคยลงทุนเฉพาะหุ้น หรือตราสารหนี้ และยังมีผลตอบแทนที่กองทุนจ่ายอย่างสม่ำเสมอจากเงินปันผลและดอกเบี้ยที่กองทุนได้รับจากที่ลงทุน ทั้งนี้ความเสี่ยงของกองทุนก็อยู่ระดับกลางไม่ได้สูงมากแบบหุ้น 100% โดยสัดส่วนการลงทุนในกองทุนผสมจะเน้นตราสารหนี้ประมาณ 50% ลงทุนในหุ้นอีกประมาณ 25-30% และกองทุนทรัสต์(REITs)อีกประมาณ 20% ซึ่งในปีที่ผ่านมากองทุนผสมแบบนี้แต่ลงทุนเฉพาะในประเทศไทยทั้งหมดก็ให้ผลตอบแทนที่ดีประมาณ 7% (รวมผลตอบแทนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติแล้ว) แต่ก็มีกองทุนที่ลงทุนในลักษณะเดียวกันนี้แต่ลงทุนต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งก็จะมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นและความผันผวนก็มากขึ้น แลกกับผลตอบแทนที่อาจจะได้มากขึ้นตามไปด้วย

ฉะนั้นกองทุนผสมก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี ที่มีการกระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้และกองทุนทรัสต์ (REITs) ก็อาจจะเหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอจากการลงทุน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเลือกเป็นกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนใน REITs เอง ที่ต้องเฝ้าติดตามการลงทุนหลายๆประเภท มาลงทุนในกองทุนรวมที่เป็นกองทุนผสมกองเดียว มีความเสี่ยงระดับกลาง ไม่สูง ไม่ต่ำ มีผลตอบแทนที่ตอบโจทย์ที่ตัวเองต้องการได้ ซึ่งนักลงทุนที่สนใจการลงทุนนี้ควรทำการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจการลงทุนครับ

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] ครับ

ขอล้อมกรอบ

www.tiscowealth.com