โอกาสลงทุนในดิสรัปทีฟเทรนด์ (Disruptive Trend)

โอกาสลงทุนในดิสรัปทีฟเทรนด์ (Disruptive Trend)

โอกาสลงทุนในดิสรัปทีฟเทรนด์ (Disruptive Trend)

กระแสดิสรัปทีฟ (Disruptive Trend) เป็นสิ่งที่โลกธุรกิจปัจจุบันพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง   ยิ่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั่วโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วเท่าไร  ธุรกิจต่างๆ ล้วนต้องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งปรากฏการณ์ที่น่าสนใจนั่นคือ การกลืนธุรกิจหรือแทรกแซงธุรกิจแบบเดิมๆ   ของบริษัทที่มีศักยภาพมากกว่า   โดยบริษัทใดที่ปรับตัวเข้ากับกระแสหลักไม่ได้ ก็จะค่อยๆ เสียส่วนแบ่งทางการตลาดและถดถอยไปจนถึงจุดที่ต้องปิดกิจการไปในที่สุด  ในทางกลับกัน บริษัทที่เข้ามากลืนธุรกิจหรือแทรกแซงทางธุรกิจได้สำเร็จ (Disruptor)  มักมีความแข็งแกร่งในการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณค่าเหนือกว่าและแตกต่างไปจากเดิม แข่งขันได้ทั้งในเชิงของราคาและคุณภาพ และที่สำคัญต้องเป็นผู้ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมของตนเองและส่งผลสืบเนื่องในลักษณะของผลกระทบในวงกว้างต่อไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นด้วย ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจที่เป็น Disruptor สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และส่งผลสืบเนื่องให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ มีโอกาสเติบโตไปด้วย

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีความโดดเด่นและมี Disruptor ที่น่าสนใจ รวมถึงเป็นโอกาสในการลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1) กลุ่มคมนาคมขนส่งและพลังงานแห่งอนาคต (Future Transportation and Energy)  ถือว่ากระแสดิสรัปทีฟยังคงเข้มข้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ว่าในปี คศ. 2030 ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมของรถยนต์ Hybrid และ รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด (Source: Blackrock Investment Institute and LMC Automotive, April 2017) และปริมาณความต้องการแบตเตอรี่ไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะนับจากปี คศ. 2015 จนถึงปี คศ. 2030 จะเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 50 เท่าเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ถูกลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น (Source : Bloomberg New Energy Finance, Visual Capitalist.com)  ทำให้บริษัทผู้พัฒนายานยนต์ไฟฟ้าหรือพัฒนาคุณภาพการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็น Disruptor มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง  โดย Disruptor ในกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า ถ้าพูดถึง TESLA  GEELY  หรือ SAMSUNG SDI ท่านน่าจะเห็นภาพของความสำเร็จในการ Disrupt ที่ชัดเจนขึ้น

2) กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)  ตัวอย่างของ Disruptor ที่โดดเด่นมากในกลุ่ม Digital Economy นี้ เช่น  AMAZON  Alibaba NVIDIA  ซึ่งทุกวันนี้ธุรกรรมต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มที่เราเข้าถึงได้ง่าย  เห็นได้ชัดจากแนวโน้มของจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและมีการซื้อขายสินค้าผ่าน Digital Platform ทั่วโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่องนับจากปี คศ. 2016 -2021  และไม่เพียงเท่านั้น แนวโน้มการเติบโตของธุรกรรมแบบไร้เงินสดที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องซึ่งคาดกันว่าในปี คศ. 2023 สัดส่วนธุรกรรมการซื้อขายสินค้าแบบไม่ใช้เงินสด (Cashless Payment) จะเพิ่มขึ้นแซงหน้าการใช้เงินสดแบบเดิมๆ   (Source : BCG Analysis, Euro monitor Passport, 2015) นอกจากนี้ รายได้จากการให้บริการ Cloud Service ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบันมีการเติบโตเฉลี่ย 22.8% ต่อปี (Source : IDC “Public IT Cloud Services) เช่นเดียวกันกับ Blockchain ที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในภาคการเงินการธนาคาร

และ 3) กลุ่มไลฟ์สไตล์ดิสรัปชัน (Lifestyle Disruption) ถือว่ามีบริษัทที่เป็น Disruptor ที่น่าสนใจจำนวนมากและเกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันในทุกมิติ  ทั้งธุรกิจด้านความบันเทิง เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี Virtual Reality, บริษัทที่เป็นผู้นำด้านความบันเทิงทางอินเทอร์เน็ตและดิจิทัลแพลตฟอร์ม ธุรกิจด้านสุขภาพ อาทิ ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นการให้คำปรึกษาทางสุขภาพ การพัฒนายาแบบ Biosimilar  การพัฒนา Smart Device หรือแม้แต่การพัฒนาระบบการศึกษาผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม  เป็นต้น

ส่วนท่านที่กังวลว่า กระแสดิสรัปทีฟนี้จะเป็นเพียงเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงวูบวาบหรือไม่ ผมมองว่าตราบใดที่โลกธุรกิจยังมีการแข่งขันรุนแรงและเทคโนโลยีมีการพัฒนารุดหน้า ก็ถือเป็นความท้าทายสำหรับบริษัทต่างๆ ที่จะพัฒนาโมเดลธุรกิจขึ้นมาเพื่อครองความสำเร็จในตลาดหรือหาทางกลืนธุรกิจแบบเดิมๆ ในฐานะ Disruptor และแน่นอนว่า Disruptor ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้ แต่มีอยู่ในโลกเรามายาวนานแล้วตามวิวัฒนาการของธุรกิจต่างๆ ถ้าพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมอยากให้นึกถึงภาพของรถยนต์ที่มา Disrupt ม้าและรถม้า  และมองไปในอนาคตที่รถยนต์ไฟฟ้ามาเป็น Disruptor รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน หรือมองย้อนไปในวันที่เราอยากซื้อของแล้วต้องออกจากบ้านเพื่อไปซื้อในห้างสรรพสินค้า ทุกวันนี้เราซื้อของที่ไหนก็ได้เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ หรือแต่ก่อนที่เราเคยต้องไปดูหนังในโรงหนัง แต่ทุกวันนี้เราดูหนังได้ผ่าน Application บนมือถือ นี่เป็นตัวอย่างที่น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า Disruptor นั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอเพื่อเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจ

Disruptive Trend จึงถือเป็นอีกธีมการลงทุน (Investment Theme) ที่น่าสนใจ ซึ่งผมเชื่อว่า การลงทุนกับหุ้นของบริษัททั่วโลกทั้งที่เป็น Disruptor โดยตรง หรืออยู่ใน Supply Chain ที่ได้ประโยชน์จากกระแสดิสรัปทีฟจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับท่านที่รับความเสี่ยงจากหุ้นต่างประเทศได้ และพร้อมจะลงทุนในระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ครับ

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน