กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2017 และมุมมองปี 2018

กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2017 และมุมมองปี 2018

กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2017 และมุมมองปี 2018

ในที่สุด ฤดูกาลของการประกาศผลกำไรประจำปี 2017 ของบริษัทจดทะเบียนก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 9.9 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโตประมาณ 9% เมื่อเทียบกับกำไรรวมของปี 2016 และหากพิจารณาเฉพาะกำไรรวมในไตรมาส 4 จะพบว่ามีการเติบโตจากไตรมาส 4 ปี 2016 ถึง 25% เลยทีเดียว

การเพิ่มขึ้นของกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาจากบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ที่เติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปี 2016 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนสามารถยืนอยู่ระดับบริเวณ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ในปลายปี 2017 โดยราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้กำไรของบริษัทในหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2016 ประมาณ 44%

นอกจากนี้ หมวดธุรกิจที่มีกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีการเติบโตของกำไรประมาณ 14% จากการเริ่มทยอยโอนของโครงการต่างๆ หมวดธุรกิจพาณิชย์ (ค้าปลีก) กำไรเติบโต 18% หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ กำไรเติบโต 13% จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและฐานที่ค่อนข้างต่ำในปี 2016 เนื่องจากอยู่ในช่วงไว้อาลัย หมวดธุรกิจการแพทย์ กำไรเติบโต 18% จากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยต่างชาติ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ กำไรเติบโต 31% จากการเพิ่มเส้นทางการให้บริการรถไฟฟ้า เป็นต้น

ส่วนหมวดธุรกิจที่ยังคงมีกำไรหดตัวลงจากปี 2016 ได้แก่ หมวดธุรกิจการเงิน มีกำไรลดลงประมาณ 7% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง มีผลขาดทุนรวมในปี 2017 จากการล่าช้าของโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรลดลงประมาณ 54% จากการลดลงของรายได้ค่าโฆษณาและการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายใบอนุญาต หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีกำไรลดลงประมาณ 13% จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายใบอนุญาต ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายการตลาด เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2018 นั้น คาดว่าน่าจะเติบโตสูงกว่าในปี 2017 คิดเป็นการเติบโตอยู่ที่ระดับประมาณ 10 -14%

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?

หากดูจากการคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีในปี 2018 ที่อยู่ที่ 4.2% สูงกว่าการเติบโตของจีดีพีในปี 2017 ที่ 3.9% นั่นคือเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและเป็นขาขึ้น กำลังซื้อในประเทศเริ่มกลับมา ทำให้บริษัทในกลุ่มค้าปลีกน่าจะยังมีกำไรเติบโตได้ดีต่อเนื่อง การผลักดันโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมไปถึงโครงการ EEC น่าจะทำให้กำไรของบริษัทในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้างเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ และประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของต่างชาติ ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรของบริษัทในหมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการก็น่าที่จะยังเติบโตได้ต่อ

 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่แกว่งตัวในระดับ 60+ เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลก็จะยังหนุนให้กำไรของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ยังคงเติบโตได้เช่นกัน หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะยังเห็นกำไรเติบโตต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้ของโครงการแล้วเสร็จ  ส่วนในหมวดธุรกิจสื่อสาร ก็เริ่มเห็นการเติบโตของรายได้ค่าบริการ และการควบคุมค่าใช้จ่ายการตลาดของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ราย และหากทางกสทช. ยืดระยะเวลาการชำระค่าคลื่น 900Mhz ออกไปเป็น 3-5 งวดจริง ก็จะยิ่งหนุนให้กำไรของบริษัทในกลุ่มนี้เติบโตได้สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทบางกลุ่มที่ยังมีความเสี่ยงที่กำไรอาจจะลดลงในปีนี้ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่อาจมีความจำเป็นต้องตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ที่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2019 กลุ่มธุรกิจสายการบินที่โดนกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และหมวดธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจมีรายได้และกำไรลดลง จากการแข็งค่าของเงินบาท เป็นต้น