ความผันผวนไม่ใช่เรื่องใหญ่

ความผันผวนไม่ใช่เรื่องใหญ่

ความผันผวนไม่ใช่เรื่องใหญ่

ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีตจะเห็นรูปแบบตลาดที่ซ้ำๆกันเสมอ เวลาที่ตลาดมีสภาวะ Bullish มากๆ ดัชนีมีการจุดสูงสุดใหม่ การลงทุนอยู่ในอารมณ์ที่ว่าพอซื้อหุ้นราคาก็ขึ้นไปพร้อมวอลุ่มมหาศาล ยิ่งขายราคายิ่งขึ้น กระแสในการเก็งกำไรเข้ามาอย่างรุนแรง มักจะตามมาด้วยการขายหุ้นทำกำไรรอบใหญ่ และการแกว่งตัวของดัชนีอย่างรุนแรง และมีการกลับตัวเพื่อพยายามจะขึ้นไปทดสอบดัชนีที่จุดสูงสุดเดิมแต่ไปไม่ไหว สุดท้ายปรับตัวลงแกว่งตัวแรงแต่ไม่แรงมากเท่าก่อนหน้า และเข้าสู่สภาวะSidewayแบบเงียบเหงาไปสักพัก

รูปแบบที่ผมกล่าวมานี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นหลายๆประเทศทั่วโลกตั้งแต่เริ่มปี 2018 รวมทั้งดัชนีหุ้นไทยเองที่ปรับตัวขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1850 ก็ตามมาด้วยความผันผวนจากการขายหุ้นจากนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ในต่างประเทศเองความผันผวนหลังตลาดทำจุดสูงสุดก็เกิดขึ้นไม่ต่างกัน ค่าดัชนี VIX ที่สะท้อนความผันผวนของดัชนี S&P500 ก็ปรับขึ้นมาอยู่ในกรอบบวกลบแถวๆ 20 จุด จากเดิมที่เคยอยู่ประมาณ 10 จุดในปีที่แล้วตลอดทั้งปี ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดช่วงนี้อาจสร้างความกังวลให้นักลงทุนไม่น้อย แต่ในมุมมองของผมเองความผันผวนที่เกิดขึ้นตรงนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวลกันมาก แต่ถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์กัน

จากข้อมูลในอดีตความผันผวนจากการขายทำกำไรรอบใหญ่มักจะตามมาด้วยความผันผวนที่ลดลง และตลาดจะเข้าสู่สภาวะแกว่งตัว Sideway ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอยู่ประจำ ต่างจากความผันผวนรุนแรงที่เกิดจากวิกฤติการณ์ หรือมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งมุมมองตรงนี้ก็สนับสนุนได้จากลักษณะการเคลื่อนย้ายเงินทุนหลังการขายหุ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐ เงินทุนส่วนใหญ่ไม่ได้เคลื่อนย้ายเข้าไปหาสินทรัพทย์ปลอดภัยอย่างในช่วงวิกฤตที่เคยเกิดขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐระยะยาวที่ปรับตัวขึ้นมาสามารถยืนทำจุดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง (ปกติแล้วถ้าเงินไหลเข้าพันธบัตรอย่างรุนแรงอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลง)

 สถานการณ์ของ Fund Flow ตอนนี้จึงคล้ายๆ กับเป็นการพักเงินไว้ในพันธบัตรสหรัฐระยะสั้น เพื่อรอดูสัญญาณหลายๆอย่าง มากกว่าจะเป็นการโยกเงินออกไปในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างชัดเจน ซึ่งสภาวะตรงนี้ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในอีก 1-2เดือนข้างหน้าตลาดน่าจะเริ่มผันผวนน้อยลงและเข้าสู่สภาวะ Sidewayไปสักพัก

จากมุมมองตรงนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องเริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สำหรับสถาวะตลาด Sideway การเก็งกำไรบนดัชนี SET50 จะมีกรอบเคลื่อนไหวที่จำกัด นักลงทุนที่นิยมใช้เครื่องมือในการ Leverage ต่างๆ เช่น DW หรือ Single Stock Futures ในการทำกำไรรอบใหญ่ อาจต้องเปลี่ยนเป็นการซื้อขายในระยะเวลาสั้นลง หรือเก็งกำไรแบบสั้นๆ เพราะเครื่องมือพวกนี้นักลงทุนจะมีต้นทุนในการถือครองที่สูงถ้าราคาหรือดัชนีวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ สำหรับนักลงทุนที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกกลุ่มที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ SET50 Option ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของค่าความผันผวนให้ดี เพราะถึงแม้ดัชนีจะเคลื่อนที่อยู่ในกรอบ ก็สามารถสร้างโอกาสทำกำไรได้ถ้าเรารู้จักคาดการณ์ทิศทางความผันผวน