จัดสรร 10% ลุ้นสร้าง return ใน Emerging Market

จัดสรร 10% ลุ้นสร้าง return ใน Emerging Market

จัดสรร 10% ลุ้นสร้าง return ใน Emerging Market

ประเด็นเรื่องการย้ายเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไปยังประเทศพัฒนาแล้ว ยังคงอยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั่วไป แต่ในด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ผมมองว่า ในปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจในแถบประเทศเกิดใหม่(Emerging Market) ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยปีนี้คาดว่า GDP ของประเทศตลาดเกิดใหม่ อยู่ที่ ประมาณ 4.8% จากปีก่อน 4.7% โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่แถบภูมิภาคเอเชีย(EM Asia) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตในระดับ 6.1% เนื่องจากปัจจุบันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ปีนี้คาดว่าจะโตประมาณ 6.1% โดยหลักๆแล้วการเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เอื้อผลดีต่อภาคการส่งออกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ย่อมเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจเอกชนในการขยาย นอกจากนี้ กลุ่มประเทศดังกล่าวยังได้รับประโยชน์จากนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ยังไม่สูงมากนักหากเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว บ่งชี้ได้ว่า ธนาคารกลางของหลายๆประเทศในตลาดเกิดใหม่ยังคงดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ

สำหรับประเทศที่ผมมองว่า มีการเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศและทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความน่าสนใจ คือเวียดนาม และประเทศอินเดีย โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีลักษณะของการเติบโตของเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ซึ่งคอลัมน์ฉบับนี้ ผมขอกล่าวถึง จุดสนใจของ 2 ประเทศนี้

เวียดนาม : เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามมีความคล้ายกับเศรษฐกิจประเทศไทย คือ เป็นศูนย์กลางการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิค โดยการส่งออกเป็นรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเวียดนามมีการเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ประเทศเวียดนามยังคงเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกตามข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (Trans-Pacific Partnership: TPP) ซึ่งปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 11 ประเทศ ซึ่งมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่เสริมภาคการส่งออกให้กับประเทศเวียดนามได้ในอนาคต

เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามนับว่ามีการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อประมาณ 14% ซึ่งสูงถึง 3 เท่าหากเทียบกับการเติบโตของ GDP ประเทศอยู่ที่ประมาณ 6% โดยมีธนาคารกลางที่ดูแลนโยบายเพื่อสนับสนุนความมีเสถียรภาพของการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

หากวิเคราะห์ในเชิงของการลงทุน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและมีกลุ่มอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์เป็นสัดส่วนใหญ่ขนาดใหญ่ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของตลาดเงิน ตลาดทุน จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน

อินเดีย : เศรษฐกิจของประเทศอินเดียคาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานด้านโครงสร้างประชากรที่มีการเติบโตของตลาดแรงงานในระยะยาว โดยคาดว่าจะเพิ่มมากกว่า 60% จะทำให้ภาคการบริโถค ซึ่งเป็นส่วนสัดส่วนสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างมีนัย โดยการเติบโตของสังคมเมืองจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ส่งผลให้การเติบโตของรายได้ต่อบุคคลประมาณ 15% ขณะที่ภาครัฐจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานเพื่อปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคในชนบท เป็นการวางรากฐานสังคมเมืองรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ อีกทั้งยังช่วยให้ประชากรใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งประหยัดต้นทุนการใช้พลังงานของภาครัฐและเอื้อต่อการเติบโตองเศรษฐกิจในระยะยาว

นอกจากนี้ ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของประเทศอินเดียยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ส่งผลให้ธนาคารกลางอินเดีย(RBI) ยังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลดีต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจในแง่ของการลงทุน นักลงทุนในประเทศอินเดียเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น กองทุน หรือ หุ้นมากขึ้น โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เงินออมภาคครัวเรือนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.7% ของ GDP

ในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแข็งแกร่งการลงทุนในตราสารประเภทหุ้นจะช่วยสร้งผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน โดยบลจ.วรรณแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุน ให้หุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชีย ประมาณ 10% ของพอร์ตการลงทุน

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”